บทที่ 5
มันไม่ใช่สิ่งที่คุณพูดหรอก
วิธีการพูดของคุณต่างหาก
เรียนรู้การฟังสิ่งที่มากกว่าคำพูด
ตอนที่ฉันยังเด็ก แม่มักพูดว่า “ไม่ใช่สิ่งที่หนูพูดหรอก มันขึ้นอยู่กับว่าหนูพูดยังไงต่างหาก”
หลายปีต่อมา ฉันพบว่าฉันพูดประโยคเดียวกันนี้กับลูกๆ
พฤติกรรมของเขาเหล่านั้นทำให้ฉันระลึกถึงว่าเราสามารถเปิดเผยทัศนคติของเราไม่เพียงผ่านคำพูดของเรา แต่ยังผ่านวิธีการพูดของเราอีกต่างหาก
บทสนทนาสองประเภทเกิดขึ้นในทุกบทสนทนา – อย่างแรกใช้คำพูด อย่างหลังใช้น้ำเสียง บางครั้งทั้งสองต่างสอดคล้อง แต่บ่อยครั้งที่มันไม่ไปด้วยกัน
เมื่อคุณถามใครสักคนว่า “สบายดีไหมจ๊ะ”
และได้รับคำตอบว่า “สบายดีจ้า”
คุณต้องไม่สนใจแต่เพียงคำว่า “สบายดี” เพื่อหาคำตอบว่าใครคนนั้นรู้สึกอย่างไร
จริงๆแล้วคุณควรใช้น้ำเสียงของเขาหรือเธอผู้นั้นเพื่อบอกให้รู้ว่า...
...สบายดี
...หดหู่
...กระวนกระวาย
...ตื่นเต้น
...หรือมีอารมณ์รู้สึกไหน
เมื่อคุณฟังเสียง ระดับเสียง จังหวะการพูดหรือลักษณะเสียงอื่นๆ คุณปรับระดับเข้าสู่การสนทนาที่ไม่ใช้เสียง ซึ่งเนื้อหาจริงๆจะถูกค้นพบ ณ ที่นี้
ใครก็ตามที่มีระดับการฟังปกติสามารถสืบเสาะสัญญาณที่คนส่งมาพร้อมกับน้ำเสียง
ทว่าน้อยคนนักจะทำความเข้าใจได้ทั้งหมด ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องเพราะเมื่อเรามีปฏิสัมพันธ์กับใครก็ตาม มันจะแย่งความสนใจไป
เราไปเน้นที่บุคคลิกลักษณะและภาษากาย,ฟังเนื้อหาในคำพูดและเฝ้ามองการกระทำ เราทำกระทั่งระบุปฏิกิริยาเชิงสัญชาตญาณที่เรามีต่อบุคคลและสถานการณ์
คุณสามารถสังเกตสารที่ผู้คนส่งมาด้วยน้ำเสียง สีหน้าท่าทาง เศร้าสลดหรือหงุดหงิดใจ แต่ทว่าโทนเสียงของความกระวนกระวาย กลัวหรือกระอักกระอักกระอ่วน จะจางหายไปถ้าคุณไม่สังเกตอย่างใกล้ชิด
ฉันฝึกให้ตนเองฟังปมทางเสียง(vocal clues) เหล่านี้และตระหนักในความคลาดเคลื่อน เพราะว่าความรู้สึกชั่วขณะคือจุดเดียวที่ฉันได้สัมผัสว่าลูกขุนที่กำลังถูกคัดเลือก มีความสงสัยหรือมีความรู้สึกที่แท้จริงต่อลูกความของฉัน
บทนี้จะเป็นการสำรวจวิธีผู้คนสื่อสารกันโดยไม่ตั้งใจและตั้งใจผ่านน้ำเสียง
อธิบายวิธีที่คุณสามารถปรับเงื่อนปมทางเสียงและถอดรหัสสารที่บรรจุในลักษณะของเสียงเหล่านี้
ฟังความระหว่างบรรทัด
นอกห้องบำบัด พวกเราน้อยคนนักที่เต็มใจประกาศว่า
“คุณทำร้ายความรู้สึกฉัน”
“ผมเสียใจและอยากเคลียร์ใจกับคุณ”
“ผมหงุดหงิดกับงานและอยากระบายกับคุณสักชั่วโมงเถอะ”
จริงๆแล้วเราส่งสัญญาณความรู้สึกเหล่านี้ด้วยปมทางเสียง
เราเล่นเกมซ่อนหาทางอารมณ์ คนที่เศร้าหมองมักต้องการความเห็นอกเห็นใจแต่รู้สึกว่าตนเองต้องการ “การอนุญาต” ก่อนกล่าวถึงเรื่องนั้น
...เธอจะถอนหายใจ
...พูดนุ่มๆ
...ตอบคำถามสั้นๆ
และผนึกเงื่อนปมทางเสียงเหล่านี้ด้วยภาษากาย เช่น ตาที่ซึมเศร้า เดินกระโผลกกระเผลกและท่าทีที่ไม่มีชีวิตชีวา จนท้ายที่สุดคุณจะได้รับสารและถามว่ามีเรื่องอะไรหรือ นั่นคือการอนุญาตให้เธอค้นหาได้แล้ว
พฤติกรรมดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นเชิงชักใย(manipulative) แต่มันก็เป็นผลผลิตของการอยู่ร่วมกันในสังคม
เราถูกสอนให้ไม่ขอให้คนสงสาร
ไม่ให้แสดงความไม่พอใจและแสดงความอิจฉาหรือแสดงความโกรธ ทำร้ายความรู้สึกคนอื่นหรือแสดงอารมณ์ไม่พอใจ
แต่ทว่าบางครั้งเราก็จำเป็นต้องแสดงตัวตนของเราและไม่ต้องการพูดออกมาแบบนั้น เราจึงใช้น้ำเสียงเพื่อแสดงส่งสาร(convey message)
การสื่อสารแบบไม่ใช้เสียงเกือบจะเป็นสากลไปแล้ว
คุณสามารถฝึกได้ด้วยตัวคุณเอง คือการเปลี่ยนทีวีไปหาช่องที่พูดภาษาที่คุณไม่รู้เรื่อง ดูละครน้ำเน่า หันหลังให้ทีวีและฟังบทพูด คุณอาจดูไม่รู้เรื่องหรอก แต่คุณสามารถจับอารมณ์ของผู้แสดงได้
คุณสามารถตอบสนองสาระสำคัญที่ฝังอยู่ในน้ำเสียงคนเข้าใจความหมายของเงื่อนปมอันหลากหลายและสอนตัวเองให้รู้จักฟัง
คุณสามารถทำตามได้ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ :
· โฟกัสที่เสียง ไม่ใช่คำพูด ระหว่างที่กำลังสนทนา
· ถามตัวเองว่าเสียงนั้นสะท้อนบุคลิกแห่งความสมัครใจหรือความไม่สมัครใจ
· มองหาแพทเทอร์น ถามตัวเองว่าน้ำเสียงแตกต่างจากปกติหรือไม่ (นั่นคือฟังเพื่อหาความเบี่ยงเบนหรือหาความสุดขั้ว)
· เปรียบเทียบน้ำเสียงกับกับภาษากายและคำพูด
· พิจารณาสภาพแวดล้อม
· ถอดรหัสเงื่อนปมทางเสียง
โฟกัสเสียง
คุณสามารถซึมซับข้อมูลจำนวนมากในแต่ละห้วงยาม
มันเป็นเรื่องยากในการจดจ่อกับคำพูดของผู้อื่น
ขณะที่สังเกตเครื่องเพชรหรือสังเกตว่าเธอนั่งไขว้ขวาหรือเปล่า
เนื่องจากมีเรื่องให้สนใจเยอะมาก ทำให้เราไม่ได้สังเกตน้ำเสียงนอกจากจะหลุดโลกจริงๆ
เรามักให้ความสนใจกับคำพูดมากกว่าน้ำเสียง ด้วยเหตุที่แสนจะง่ายดาย นั่นคือคำพูดต้องการการตอบ
บางครั้งถ้าเราไม่สนใจเนื้อหาในการสนทนา เราจะไม่ได้อะไรเลย
กระนั้นก็ตาม ทุกๆบทสนทนาในบางห้วงยามเมื่อคุณไม่จดจ่อกับเนื้อหาและเริ่มสนใจน้ำเสียง มันใช้เวลาไม่กี่วินาทีหรอกและใช้เวลาฝึกฝน
คุณจะสามารถฟังคำพูดและน้ำเสียงได้ในเวลาเดียวกัน
ถ้าคุณฟังน้ำเสียงใครคนหนึ่งอย่างจริงจัง
คุณจะเพิ่มพูนความหมายของคำพูด
แบ่งแยกระหว่างบุคลิกที่สมัครใจและไม่สมัครใจ
ความสำคัญของบุคลิกภาพที่สมัครใจและไม่ยินยอมพร้อมใจนั้นได้ถกไว้แล้วในบทที่สอง “ค้นพบแพทเทอร์น”
เมื่อใครคนหนึ่งเปลี่ยนน้ำเสียงอย่างจงใจ คนผู้นั้นกำลังชักใย(manipulate) ผู้ฟัง
บางทีคุณก็ต้องฟังเนื้อหาอย่างตั้งใจและพิจารณาสถานการณ์เพื่อระบุว่าน้ำเสียงแบบนั้นตั้งใจหรือไม่
บุคลิกลักษณะที่ไม่ตั้งใจต้องถูกประเมินอย่างถ่องแท้
คนใช้มันอย่างไร หรือทดแทนมันอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ผู้ชายที่มีเสียงสูงเหมือนผู้หญิงอาจใช้วิธีที่หยาบคายดุร้ายเพื่อทำให้ดูเป็นผู้ชายมากขึ้น
คนที่พูดติดอ่างจะพูดช้ามากเพื่อเอาชนะการติดอ่างและทำให้ตัวเองมั่นใจมากขึ้น
ผู้หญิงที่มีเสียงเพราะมากจะเปิดเผยมากกว่าผู้หญิงเสียงแหบและไม่น่าฟัง
คนต่างชาติที่ติดสำเนียงชาติของตนมักจะเงียบเมื่ออยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า
ไม่มีใครในกลุ่มนี้ที่เสแสร้งอย่างจงใจ ตรงกันข้ามพวกเขากลับมีปฏิกิริยาต่อเงื่อนไขที่ไม่สมัครใจในวิถีทางที่สนองตอบต่อพวกเขาดีที่สุด
ขณะที่คุณอ่านบุคลิกด้านน้ำเสียงอันแตกต่างหลากหลายซึ่งอธิบายในบทนี้
และขณะที่คุณประยุกต์ใช้ข้อมูลเหล่านี้ในชีวิตคุณ
คุณต้องถามตัวเองอยู่เสมอว่าคุณภาพเสียงที่คุณได้ยินอยู่นั้นเป็นธรรมชาติหรือแสร้ง
ถ้าเป็นความจงใจ มันจะเป็นการสื่อสารอย่างมีเป้าประสงค์
หรืออาจจะมีการชักใยด้วยซ้ำ แต่บุคลิกที่ไม่จงใจซึ่งเป็นเรื่องทางกายภาพล้วนๆ เช่น การส่งเสียงดังหรือเสียงหอบหายใจ อาจจะไม่เกี่ยวเนื่องกับอารมณ์ใดๆก็ได้
มองหาแพทเทอร์น
ความเบี่ยงเบนและความสุดขั้ว
หนังสือเล่มนี้ได้ตอกย้ำความสำคัญของการระบุแพทเทอร์น เฉพาะบุคลิกบางประการเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ความหรูหราฟุ่มเฟือยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายกาละเทศะ
คุณจะมั่นใจได้ไหมว่าคนผู้นั้นหรูหราฟุ่มเฟือย และจากบทสรุปดังกล่าวเขาจะคิดหรือมีพฤติกรรมอย่างไร ในการพิจารณาลักษณะน้ำเสียง
ก็เช่นเดียวกับการพิจารณาลักษณะอื่นๆ จำไว้ว่าการเบี่ยงเบนและการโอเวอร์ของแพทเทอร์น
ของบางคนมีความสำคัญมากๆ
ลักษณะน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
พวกเราทุกคนเคยพบคนที่สงบเงียบระเบิดอารมณ์โกรธ หลังจากที่เขาออกจากห้องไปแล้ว พวกเราที่เหลือต่างมองหน้ากันไปมา
และพูดทำนองว่า “สงสัยมันจะบ้าว่ะ เราไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้มาก่อน”
ในทางตรงกันข้าม เราเคยเผชิญคนเจ้าอารมณ์ที่บูดแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อย
เมื่อเขาออกจากห้องไป ผู้คนมองไปรอบๆ ยักไหล่และพูดว่า “มันเอาอีกแล้ว” เพราะเราคุ้นเคยกับพฤติกรรมปกติของเขา
เรารู้ว่าไม่ควรเอาระเบิดอารมณ์ของเขามาใส่ใจให้มากนัก
คุณคงไม่สามารถทำตัวให้คุ้นกับสไตล์เสียงของคนคนหนึ่งจากการพบกันเพียงครั้งเดียว แต่ระหว่างการพบกันเป็นครั้งแรก จงพยายามสังเกตเสียงปกติ ท่วงทำนองและลักษณะเสียงพื้นฐานของเขา หลังจากคุณระบุแพทเทอร์นของเสียงได้แล้ว จงตื่นตัวต่อการเบี่ยงเบนไปจากปกติ
คนบางคนซึ่งโดยธรรมชาติรักษาระดับอารมณ์ได้ดี มักจะแสดงความโกรธโดยการเงียบผิดปกติหรือหายใจแรงๆ โดยไม่ใช้วิธีขึ้นเสียงหรือพูดเร็วๆ ซึ่งหลายคนจะทำอย่างนั้น
ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับพฤติกรรมปกติของคนผู้นั้น
สิ่งสำคัญที่ควรจดจำไว้ก็คือคนบางคนที่มีอารมณ์ไม่ปกติในครั้งแรกที่เจอนั้นจะแตกต่างออกไปในสัปดาห์ถัดๆไป
อย่าด่วนตัดสินใจถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ให้แพทเทอร์นพัฒนาไปในการพบปะกันอย่างน้อยสามสี่ครั้ง ให้ยาวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
วิธีแบบนั้นแหละที่คุณจะสามารถประเมินว่าปมเสียงที่คุณสังเกตเห็นจะสะท้อนสภาพจิตใจหรือลักษณะถาวรของคนผู้นั้นได้
ในการประเมินลักษณะของคนผู้หนึ่ง ตัดสินใจว่าคุณเห็นส่วนเบี่ยงเบนหรือส่วนที่เป็นพฤติกรรมปกติของคนๆนั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าฉันถูกถามเพื่อเลือกลูกขุนในกรณีที่ต้องการลูกขุนที่มีความเอื้ออาทรและให้อภัย ฉันจะไม่ให้น้ำหนักในการให้ความเห็นครั้งเดียวโดยดูจากน้ำเสียงโหดๆซึ่งโดยปกติเป็นคนเอื้ออาทร
อย่างไรก็ตามหากลูกขุนผู้นั้นยังใช้น้ำเสียงเช่นนั้นต่อไป แม้ว่าจะไม่ใช่น้ำเสียงสุดขั้วในสถานการณ์พิเศษ ฉันจะทึกทักเอาว่าเขาเป็นพวกเจ้าปัญหาและช่างวิจารณ์ ไม่ใช่พวกเอื้ออาทร ฉันจะปฏิเสธเธอ
ลักษณะเสียงสุดขั้ว
จงให้ความสนใจกับบุคลิกเกินจริง เสียงสั่นเล็กน้อยไม่ได้ชี้ชัดว่าเกิดความกระวนกระวายเหมือนคนพูดติดอ่าง
มีความแตกต่างระหว่างคนที่พูดเสียงดังและคนพูดเสียงกระซิบ
ความสำคัญของลักษณะเสียงขึ้นอยู่กับระดับเสียงนั่นเอง
ก็อย่างที่ฉันบอกไปแล้วนั่นแหละ ฉันไม่ค่อยให้น้ำหนักกับคอมเมนท์ที่มาจากน้ำเสียงที่แสดงออกมา ถ้าน้ำเสียงและเนื้อหาคำพูดไม่สุดขั้วจริงๆ
ลักษณะเสียงที่สุดขั้วเช่นนี้สามารถสังเกตได้ง่ายแต่ตีความยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้พูดไม่ใช่คนที่คุณรู้จักดีพอ อาการเวอร์ๆของเขาอาจบ่งชี้ถึงความรุนแรงของอารมณ์
เขามีความสุขหรือดีใจเป็นล้นพ้น ?
เขาเสียใจหรือหดหู่ ?
ถ้าคุณสังเกตลักษณะสุดขั้วในการพบปะกันหลายครั้งหลัง จะปรากฏแพทเทอร์นที่จะนำไปสู่เงื่อนไขถาวร คุณจะต้องประเมินให้ดี
บุคลิกของเสียงจะมีความหมายมากถ้า “เจ้าของเสียง” ตระหนัก เงื่อนปมทางเสียงผลุบเข้าผลุบออกจากบทสนทนาโดยที่เจ้าตัวไม่ได้สังเกต
แต่ทว่าเมื่อน้ำเสียงของคนผู้หนึ่งระเบิดเปรี้ยงด้วยความตื่นเต้นหรือสะอื้นไห้ด้วยความหดหู่ เธอจะรู้ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าน้ำเสียงดังกล่าวจะเกิดขึ้นจากความจงใจของเจ้าตัว
การแสดงออกถึงความสุข ความเศร้า กลัว หรือโกรธอย่างสุดยอดจะไม่สามารถสะกดกลั้นเอาไว้ได้
อันที่จริงแล้วหากคนผู้หนึ่งเลือกที่จะไม่แสดงอารมณ์
เธอจะรู้สึกเสียใจหากเธอแสดงอารมณ์ออกมาทางน้ำเสียง
การตระหนักดีว่าเมื่ออารมณ์ถูกแสดงออกจะเปิดโอกาสให้ผู้อ่านคน(People-reader)สามารถสนองตอบได้ทันควัน ยกตัวอย่างเช่น หากผู้หญิงคนหนึ่งพยายามทำท่ามั่นอกมั่นใจเพื่อให้เจ้านายประทับใจ แต่เสียงยังสั่น
เธออาจจะกระอักกระอ่วนใจ
เธอตระหนักดีว่าเจ้านายต้องใช้ความพยายามมากเพื่อทำให้เธอรู้สึกสบายใจ หรือโดยปกติเสียงของเธอร่าเริง
แต่ทว่าในเวลานี้เสียงเธอไร้อารมณ์ ขาดชีวิตชีวา แสดงว่าเธอเศร้าหรือหดหู่
หากเจ้านายของเธอเห็นอาการดังกล่าว ก็จะไม่ให้งานเพิ่มขึ้นซึ่งอาจจะเป็นภาระต่อเธอ
ลักษณะเสียงใดๆที่สุดขั้วเมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ปกติโดยไม่สนใจเนื้อหาคำพูดจะทำให้คุณหยุดใคร่ครวญได้
ตามปกติผู้คนจะเลือกส่งความรู้สึกผ่านน้ำเสียง และบ่อยครั้งที่คนที่ร้องขอความช่วยไม่ได้ผ่านคำพูดแต่ผ่านน้ำเสียง
สิ่งนี้จะถูกต้องอย่างยิ่งเมื่อคนผู้นั้นหดหู่ โกรธและถูกทำร้ายจิตใจ
เธออาจจะตอบว่า “สบายดี” แต่ทว่าน้ำเสียงจะบ่งบอกว่ากำลังแย่
ด้วยความไวต่อการเงื่อนปมทางเสียง
คุณไม่เพียงสามารถทำความเข้าใจผู้คนในวิถีทางที่สามารถช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ แต่คุณยังอยู่ในตำแหน่งที่สามารถให้ความช่วยเหลือผู้คนได้อีกต่างหาก
เปรียบเทียบเสียงกับภาษากายและคำพูด
ความรู้สึกไม่ได้เปิดเผยผ่านน้ำเสียงโดดๆ อย่างไรก็ตามด้วยการเปรียบเทียบน้ำเสียงกับภาษากายและคำพูด คุณสามารถบ่งชี้ได้ว่าคนผู้นั้นอยู่ในอารมณ์ใดได้อย่างถูกต้อง
เมื่อน้ำเสียง ภาษากายตลอดจนคำพูดสอดคล้องต้องกัน มันเป็นเรื่องง่ายต่อการตีความว่าเขารู้สึกอย่างไรและสามารถพยากรณ์ได้ว่าเขาจะปฏิกิริยาต่อสถานการณ์ต่างๆอย่างไร
แต่ทว่าหากทั้งสามสิ่งไม่ไปด้วยกัน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
จากนั้นคุณต้องพิจารณาเององค์ประกอบใดที่จะก่อแพทเทอร์นที่ต่อเนื่อง
คุณจะหาข้อสรุปได้อย่างถูกต้อง
กระบวนการดังกล่าวนี้สามารถถูกนำไปใช้ได้โดยเจ้านายที่ลูกน้องลูกน้องบ่นว่าหวัดทำให้เสียงเปลี่ยนแต่เวลาเดินเหินดูเป็นปกติ
หรือสามารถนำไปใช้ได้กับลูกค้าซึ่งพูดกับพนักงานขายซึ่งพูดด้วยความมั่นใจ เสียงดังและมีความรู้เรื่องสินค้าดีมากแต่ไม่กล้าสบตาเมื่อพูดถึงประวัติการประกัน
และใช้ได้กับหญิงสาวซึ่งแฟนของเธอสารภาพว่าจะรักเธอตราบชั่วฟ้าดินสลายด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงใจเอามากๆ
ขณะที่เหลือบไปมองสาวสวยที่เดินเฉียดไปมาแว่บนึง
ถ้าน้ำเสียง ภาษากายและคำพูดไม่สอดคล้องต้องกัน ต้องมีบางสิ่งบางอย่างผิดพลาดแล้วล่ะ พิจารณาดูดีๆเพื่อค้นหามัน
พิจารณาสภาพแวดล้อม
ถ้าฉันสังเกตเห็นว่าบางคนกำลังกระวนกระวายใจระหว่างยืนอยู่ในคอกพยาน
ฉันรู้สึกได้ทันทีว่าสภาพแวดล้อมในห้องพิจารณาคดีเครียด
แน่นอน สภาพแวดล้อมใดๆก็ตามจะมีผลกระทบต่อสภาพเสียง ยกตัวอย่างเช่น เสียงดัง จะมีเงื่อนปมที่มีความหมายต่อบุคลิกของและสภาพจิตใจของคน
แต่ต้องเป็นสภาพเสียงดังที่เป็นตามธรรมชาติและต่อเนื่องด้วย อันที่จริงความสำคัญของลักษณะเสียงจะลดลงหรือถูกขจัดไปอย่างสิ้นเชิงภายใต้สถานการณ์ที่แน่นอน
คนผู้หนึ่งจะพูดเร็วเพราะเขามีความสุข,กระวนกระวาย,ตื่นเต้นหรือกลัว
การรู้ว่าคนผู้นั้นอยู่ในห้วงจังหวะใดจำต้องวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
สิ่งนี้ถูกต้องถ้าคุณพบคนผู้นั้นเป็นครั้งแรก
การที่ใครสักคนรู้สึกสบายใจ น้ำเสียงของเขาจะเป็นดัชนีชี้ว่าอารมณ์และบุคลิกภาพของเขาได้เป็นอย่างดี
ถ้าเขารู้สึกไม่สบายใจ น้ำเสียงของเขาจะสะท้อนอารมณ์ในห้วงนั้นออกมา
ถอดรหัสปมเสียง
การทำความเข้าใจสารที่เข้ารหัสในลักษณะเสียงนั้นจำเป็นต้องฝึกฝนและเรียกร้องความใส่ใจ สิ่งที่ยิ่งไปกว่าลักษณะอื่นๆก็คือ น้ำเสียงเปลี่ยนไปทุกวินาทีขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ ถ้าคุณไม่ตื่นตัว คุณจะขาดบางสิ่งที่สำคัญ
ขณะที่ลักษณะเสียงบางอย่าง เช่น เสียงดัง จะมีลักษณะตรงไปตรงมาและตีความได้ง่าย ลักษณะบางอย่างเช่น ท่วงทำนองและการพูดตะกุกตะกัก ตีความยาก น้ำเสียงบางอย่างจะมีความหมายตรงกันข้าม เช่นเดียวกับบุคลิกอื่นๆ
จงมองหาแพทเทอร์นและใส่ใจดูว่าน้ำเสียงนั้นสอดคล้องหรือขัดแย้งกับภาษากายและคำพูดหรือไม่
มีลักษณะเสียงที่แตกต่างมากมายที่จะถกกันต่อไป
ข้างล่างจากนี้ไปคือสิ่งที่ธรรมดามากที่สุดและได้รับการพูดถึงมากที่สุด :
เสียงดัง…
เสียงเบา…
พูดเร็ว…
พูดช้า…
พูดติดอ่า…ง
Pitch…
Intonation และเน้นย้ำ…
พูดเรียบๆ เสียงไร้อารมณ์…
เสแสร้ง…
วีน…
เสียงแหบ…
พูดพึมพัม…
ท่วงทำนองเสียง…
เสียงดัง
บ่อยครั้งที่เราได้เจอะเจอคนที่มีเสียงดังผิดปกติที่คุณไม่มีวันลืม
กุญแจสำคัญในการประเมินวิเคราะห์ก็คือคนผู้นั้นใช้เสียงของเขาเมื่อไหร่และอย่างไรด้วยจุดประสงค์อะไร
การควบคุม
เสียงที่ดังมักถูกใช้เพื่อควบคุมสภาพแวดล้อม
ความดังเป็นลักษณะที่ทรงอำนาจและเป็นที่น่าเกรงขาม ดังนั้นคนที่แสวงหาการครอบงำหรือควบคุมผู้อื่นมักจะใช้เสียงดัง
การครอบงำที่มากจนเกินไปนั้นมักจะสะท้อนอีโก้และความไม่อดทน คนส่วนใหญ่ทึกทักว่าคนที่เสียงดังแสดงถึงความมั่นใจ แต่ทว่าบางคนตะโกนเพราะกลัวคนอื่นไม่ยินถ้าเขากระซิบ
การจูงใจ
คนบางคนค้นพบว่าเสียงดังเป็นเครื่องมือในการจูงใจผู้อื่น หรืออย่างน้อยที่สุดก็กดดันให้คนอื่นยอม
พวกเขาเรียนรู้ว่าหากพูดเสียงดังเพียงพอ คนจำนวนมากจะตีความได้ว่าน้ำเสียงเช่นนั้นแสดงออกถึงความมั่นใจ
ถึงแม้ว่าจะเป็นการคิดผิด แต่ก็ไม่มีใครอยากไปโต้เถียงด้วย
ทดแทนข้อบกพร่อง
ฉันเห็นหลายกรณีแล้วว่าระดับเสียงจะทดแทนข้อพกพร่องที่สัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างเล็กหรือความพิการทางกาย
ปฏิกิริยาต่อหูตึง
ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นกับคนชรา แต่ระวังไว้คนหนุ่มคนสาวก็หูตึงได้นำ
เมาเหล้า
คนเมาชอบพูดเสียงดัง แต่ระดับเสียงอย่างเดียวไม่ได้เป็นสัญญาณประการเดียวของอาการเมา ถ้าคุณพบใครสักคนเป็นครั้งแรกในงานคริสต์มาส อย่าด่วนตัดสินเกี่ยวกับเสียงดังของเขาจนกระทั่งคุณพบเขาอีกครั้งภายใต้สถานการณ์ปกติ
เมื่อคุณจะประเมินว่าคนผู้หนึ่งเป็นคนเสียงดังประเภทใด เก็บคำถามเหล่านี้ไว้ในใจ
-เสียงนั้นสอดคล้องกับโอกาสหรือไม่
-ความดังนั้นต่อเนื่องหรือเปล่า หรือมันเปลี่ยนแปลงไปตามจำนวนคนในกลุ่ม
-เสียงที่ใช้นั้นบ่งถึงความก้าวร้าว,เพื่อควบคุม,ทำให้หวาดกลัว หรือพูดข้ามหัวคนอื่น หรือเปล่า
พูดตามตรง ฉันพบว่าคนที่มีเสียงและมีลักษณะครอบงำ แต่ใช้มันอย่างเหมาะสมจะแสดงถึงความมั่นใจ แต่คนที่ใช้เสียงดังอย่างไม่เหมาะสม จะแสดงออกถึงความไม่มั่นใจ
เสียงเบา
เสียงเบาสามารถใช้เพื่อชักใยผู้อื่นได้ หรือมันบ่งชี้ว่าคนผู้นั้นหวั่นไหวได้ง่าย
ขณะที่เสียงต่ำแสดงว่าผู้พูดขาดความมั่นใจและแน่นอน อย่าเข้าใจผิด
เสียงเบาจะสะท้อนถึงความมั่นใจในตัวเอง ผู้พูดรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องครอบงำการสนทนา อย่างไรก็ตามอาจจะมีองค์ประกอบแห่งความยโส
“ถ้าคุณต้องฟังในสิ่งที่ฉันพูด คุณต้องตั้งใจฟัง”
เมื่อคุณประเมินน้ำเสียงของใครสักคน สิ่งที่คุณต้องระบุคนๆนั้นมีเสียงเบาเป็นปกติหรือเบาเพราะในโอกาสพิเศษ
ถ้าเป็นอย่างหลัง ถามดังต่อไปนี้ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียงต่ำลง
- เกิดการเผชิญหน้ากันโดยคนผู้นี้เป็นฝ่ายล่าถอย
- คนผู้นี้อยู่ในสถานการณ์ไม่สะดวกซึ่งทำให้เขากระวนกระวายหรือถูกคุกคาม
- คุณเห็นเครื่องบ่งชี้ถึงความสลดหรือไม่
- มีสัญญาณบางอย่างที่แสดงว่าผู้พูดกำลังโกหกหรือเปล่า และพยายามโกหกให้เป็นธรรมชาติ
- ผู้พูดพยายามกดดันใครบางคนให้เขามาอยู่ในรัศมีที่หูได้ยิน นี่เป็นการเล่นเกมอย่างหนึ่ง
- ผู้พูดกำลังลดเสียงเพื่อให้ใครบางคนได้ยินเท่านั้นหรือเปล่า
- ผู้พูดเหนื่อยอยู่หรือเปล่า
- เสียงเบาเป็นผลมาจาการอาการป่วยไข้หรือเปล่า
คุณมักจะพบการอธิบายถ้าคุณสาเหตุว่าใครสักคนทำไมใช้เสียงต่ำซึ่งไม่ใช่บุคลิกปกติของคนผู้นั้น
พฤติกรรมของผู้พูดจะยืนยันถ้าคุณพิจารณาสัญญาณของความเศร้า, ความกระวนกระวาย,กระอักกระอ่วน และอารมณ์อื่นๆที่กล่าวถึงในบทที่ 3 และภาคผนวก
เมื่อคุณประเมินใครสักคนเกี่ยวกับการใช้เสียงเบาอย่างต่อเนื่อง จงโฟกัสไปที่ความเหมาะสมว่าเขาอยู่ในสถานการณ์ใด
คนผู้นั้นพยายามพูดให้ดังขึ้นทั้งๆที่รู้ว่าคนไม่ได้ยินหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ เจ้าคนนี้ก็เป็นคนไม่สังเกต,ไม่รู้จักพินิจและยโส
ถ้าเขาพูดเสียงเบา แต่ใช้สัมผัสทางตา(eye contact)และภาษากายผ่อนคลาย เสียงเบาก็ไม่ใช่ประเด็น
ในทางตรงกันข้ามถ้าเสียงเบามาพร้อมกับภาษากายที่สะท้อนถึงความไม่สบาย เช่น ขาดสัมผัสทางตา เอี้ยวตัวหรือเมินหน้า
ฉันจะ “อ่าน” เสียงเบานี้ว่าเป็นอาการของความไม่สะดวกสบายและขาดความมั่นใจ
พูดเร็ว
เรามักจะได้ยินวลีว่า “เซลล์แมนที่พูดเร็ว” มันมักจะอ้างถึงใครสักคนที่ไม่เพียงแต่พูดเร็วเท่านั้น แต่ยังโกหกไวอีกด้วย
การพูดเร็วบางครั้งบ่งชี้ถึงความไม่จริง แต่ก็เป็นหนึ่งในความเป็นไปได้เท่านั้น
มีความแตกต่างระหว่างการพูดเร็วตลอด กับการพูดเร็วเพื่อตอบโต้ต่อสถานการณ์พิเศษ
คนที่พูดเร็วมักจะเติบโตในครอบครัวที่จำเป็นต้องพูดเร็วเพื่อจะได้คุยกันรู้เรื่อง ฉันพบว่าคนที่พูดเร็วอย่างต่อเนื่องนั้นมักจะประเมินสถานการณ์ได้เร็วเฉกเช่นที่เขาแสดงออกตัวเอง
ผลที่ตามมาก็คือเขามักจะไม่ระมัดระวัง ทำให้กลายเป็นพวกหุนหันพลันแล่นและตัดสินคนง่าย
ฉันยังพบว่าการพูดเร็วจะทดแทนความไม่มั่นคงปลอดภัย ผู้พูดเร็วเหล่านี้จะแสดงสัญญาณของการมีความเคารพตัวเองต่ำ ยกตัวอย่างเช่น บุคลิกที่กระวนกระวายและความพยายามทำให้คนสนใจอย่างไม่เหมาะสม
สาเหตุที่ทำให้คนพูดเร็วอาจมาจากอาการดังต่อไปนี้
- ความกระวนกระวาย
- ความไม่อดทน
- ความวิตกกังวล
- ความไม่มั่นคงปลอดภัย
- ความตื่นเต้น
- ความกลัว
- ยาเสพติดหรือเหล้า
- ความโกรธ
- ความต้องการจูงใจ
- ถูกจับโกหก
คนส่วนใหญ่สังเกตว่าบางคนจะรวดร้าวจากการถูกจับโกหกได้
บางคนพูดคุยด้วยความเร็วปกติ จากนั้นตระหนักดีว่าตัวเองเกิดความไม่ต่อเนื่องในการเล่าเรื่อง จากนั้นเขาจะเปลี่ยนไปพูดเร็วขณะที่เธอต้องอธิบายตัวเอง
ยิ่งพูดโกหกมากเท่าไหร่ ก็จะพูดเร็วมากเท่านั้น
ฉันมักตื่นตัวถึงความเป็นไปได้ของคนพูดเร็วว่าอาจจะเป็นเพราะต้องการซ่อนความจริงระหว่างการพูด
แต่มีความเป็นได้ว่าเขาอาจจะกระวนกระวายและรู้สึกไม่ปลอดภัยและพูดเร็วๆเพื่อจะได้พ้นจากความวิตกนั้นหรือพยายามซ่อนความวิตกกังวลไว้
เรามักจะตระหนักในเรื่องดังกล่าวโดยดูจากลูกของเรา
ความตื่นเต้นของเด็กมักจะนำไปสู่การพูดเร็ว ซึ่งตามปกติก็ไม่ได้ต่างกับผู้ใหญ่สักเท่าไหร่
พูดช้า
คนที่พูดช้ามีสองแบบ หนึ่ง-คนที่มีเสียงและท่าทีสบายๆ กับอีกพวกหนึ่งที่พูดช้าพร้อมกับมีอาการทางกายและทางเสียงอื่นๆที่แสดงให้เห็นว่าไม่สบาย เช่น มีสัมผัสทางสายตาน้อยและเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ
วิธีดูว่าเป็นพวกไหน ฉันจะลองคาดเดาเกี่ยวกับสาเหตุของการพูดช้า
คนบางคนที่พูดช้าเพราะมีอาการป่วยไข้ทางการหรือทางจิต หากเป็นอย่างหลังการพูดช้าจะมาพร้อมกับการที่คนผู้นั้นไม่สามารถแสดงออกทางความคิดได้
ความป่วยไข้ทางร่างกายจะแสดงออกมาอย่างเด่นชัดเมื่อคุณได้คุยกับคนๆนั้นไปสักครู่
ผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับภาษาต่างประเทศก็มักจะพูดช้า ไม่เหมือนกับผู้ที่มั่นใจในการศึกษาของตนเอง
ครู,เสมียนและอาชีพบางอย่างที่ต้องพูดคุยกับคนส่วนใหญ่มักจะพูดช้าเพื่อทำให้คนอื่นเข้าใจง่าย เทคนิกดังกล่าวจะแสดงออกมาให้เห็นในทุกๆการสนทนา
บางครั้ง คนพูดช้ามักจะถูกมองว่าเป็นคนมีเมตตาโดยเฉพาะในกรณีไม่ได้ใช้เสียงเสียดสี
ถ้าใครสักคนพูดด้วยลีลาปกติ การพูดช้าในบางกรณีอาจจะหมายความว่าคนผู้นั้น
- พยายามสร้างประเด็นที่มีความสำคัญต่อตัวเขา
- กระวนกระวาย
- สับสน
- โกหก
- เศร้า
- เหนื่อย
- คิดลึก
- ป่วย
- ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของยาเสพติดหรือเหล้า
- ไม่ฉลาด
เพื่อตัดสินใจว่ามาจากสาเหตุใด ลองพิจารณาภาษากายและเนื้อหาคำพูด
พูดอ้ำอึ้ง
การพูดอ้ำอึ้ง,ลังเล หรือตะกุกตะกัก แตกต่างจากการพูดช้า
การหยุดหรือการเริ่มต้นจะมีสาเหตุมาจากความไม่ปลอดภัย กระวนกระวายหรือสับสน ในบางกรณีมันจะสะท้อนถึงความไม่จริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนผู้นั้นต้องขอโทษด้วยความยากลำบาก แต่ทว่าประเด็นอาจจะเป็นไปในทางตรงกันข้าม
นั่นคือผู้พูดต้องการพูดและเลือกใช้คำที่ถูกต้อง หรือเขาอาจจะหยุดเพื่อให้สอดแทรก
เพื่อตัดสินใจว่าการพูดตะกุกตะกักนั้นแสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นคง กระวนกระวาย สับสน ความไม่จริง หรือความพยายามที่จะทำให้ทุกอย่างถูกต้อง ให้พิจารณาแพทเทอร์นทั้งหมดของการพูด คำพูดและภาษากาย
คนที่พูดด้วยความตื่นเต้นมักจะพูดตะกุกตะกัก สัญญาณบางอย่างจะปรากฏขึ้นด้วยเช่นกัน
คนที่โกหกจะไม่ยอมมองตาคนอื่นและจะมีภาษากายที่กล่าวถึงในบทที่สาม
คนที่กระวนกระวายจะไม่เพียงพูดตะกุกตะกักเท่านั้น เธอจะเปลี่ยนเก้าอี้อยู่เรื่อย หักนิ้วเล่น ฯลฯ
เมื่อการพูดตะกุกตะกักได้กลายเป็นการพูดติดอ่าง โดยปกติไม่ใช่เป็นเพราะความกระวนกระวาย แน่นอน บางคนพูดติดอ่างเพราะสภาพร่างกาย จงสังเกตว่าการพูดติดอ่างนั้นต่อเนื่องตลอดการสนทนาหรือเปล่า หรือเฉพาะในช่วงตื่นเต้นหรือลิ้นพันกัน
การพูดติดอ่างเรื้อรังไม่ได้มาจากความตื่นเต้นเรื้อรัง
การพูดติดอ่างอย่างรุนแรงคือสภาพทางเสียงที่ยังไม่มีใครเข้าใจจริงๆจังสักที
เสียงสูง
เสียงคนเริ่มจากสงบ เย็น ไปกระทั่งเสียงแหลมสูงถึงยั่วโทสะ
ส่วนใหญ่เสียงสูงจะเกิดจากความไม่ตั้งใจ เราจะทำเสียงสูงและลดเสียงลงสู่ระดับมาตรฐานด้วยเหตุผลบางประการ
เสียงคนส่วนใหญ่จะสูงปรี๊ดเมื่อตกใจ,กลัว,ดีใจ,ตื่นเต้น ฯลฯ ถ้าระดับความรู้สึกต่างๆเหล่านั้นเข้มข้นมาก จะเกิดอาการเสียงแห้ง ในกรณีดังกล่าวนี้ สาเหตุจะกระจ่างชัดหากเราดูภาษากาย คำพูดและการกระทำประกอบ
คนบางคนลดเสียงลงจากระดับธรรมดาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อต้องการจะลวงล่อใครสักคน
เสียงสูงจะลดลงกะทันหันเมื่อเกิดความเศร้า,หดหู่ หรือเหนื่อยล้า
ท่วงทำนองและการเน้น
ในหลายภาษา ความหมายของคำจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงขึ้นอยู่กับพยางค์หรือคำไหนที่เราเน้น
ขณะที่ภาษาอังกฤษไม่ได้พึ่งพาท่วงทำนองเสียงและการเน้นมากเหมือนบางภาษา เราจะสื่ออารมณ์และความหมายที่แตกต่างได้ด้วยการเปลี่ยนแพทเทอร์นการพูด จงให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้แล้วคุณจะได้เห็นเงื่อนปมที่สำคัญ
พวกเรามักชอบถามว่าเขาหรือเธอผู้นั้นอยากไปสถานที่บางแห่งกับเราไหม และมักจะได้รับคำตอบว่า “อยากไป” บางครั้งเมื่อเราได้ยินคำตอบแบบนั้นเรารู้ได้ทันทีเลยว่าพวกเขาไป ในบางโอกาส เมื่อคนผู้นั้นจบประโยคที่ว่า “เราอยากไปนะ” และเรารู้ได้ทันทีเลยว่าคำต่อไปที่จะหลุดจากปากก็คือ “แต่”
ถ้าคุณฟังท่วงทำนอง จังหวะหยุดและเน้นอย่างตั้งใจแล้ว คุณจะตระหนักในประโยคที่ “ไม่สมบูรณ์” ได้ แม้กระทั่งคุณไม่สามารถคาดเดาคำที่ไม่สมบูรณ์ อย่างน้อยที่สุดคุณก็สามารถสืบสิ่งที่กำกวมเพื่อตามด้วยคำถามที่เหมาะสม
ไม่น่าประหลาดใจเลยที่การเน้นคำมักจะตามมาด้วยการเน้นด้านสรีระ ขณะที่กำลังเน้นคำ ผู้พูดอาจจะเอนกายไปข้างหน้าหรือปรับอิริยาบถอื่นๆ ผลที่เกิดขึ้นก็คือกระทั่งการเปลี่ยนแปลงที่ซ่อนเร้นสามารถสังเกตได้ง่ายถ้าคุณฟังเขาคนนั้นมองการเปลี่ยนแปลงของภาษากายไปด้วย
เสียงแบนแบบไร้อารมณ์
ถ้าคุณบอกเพื่อนว่าคุณได้รับการเลื่อนตำแหน่ง คุณคาดหวังว่าจะได้รับการตอบรับที่สะท้อนความตื่นเต้นและยินดีด้วยกับคุณซึ่งจะแสดงในน้ำเสียงของเขา บางทีเธออาจจะใช้น้ำเสียงที่จริงใจและอบอุ่นพูดว่า “ยินดีด้วยนะเธอ”
คุณไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะพูดด้วยน้ำเสียงแบนๆเร็วๆว่า “ก็ดีนี่”
เมื่อคุณได้รับการตอบรับอย่างที่ไม่เป็นไปตามคาดและไร้อารมณ์เยี่ยงนี้ คุณต้องตื่นตัวได้แล้วนะ พิจารณาไปที่ภาษากายเพื่อดูว่ายายคนนี้กำลังอยู่ในอารมณ์เบื่อหรือหดหู่
หรือน้ำเสียงแบนเรียบเช่นนี้เป็นความพยายามที่จะซ่อนความรู้สึกตึงเครียด เช่น ความอิจฉาหรือไม่พอใจบางอย่างเอาไว้
ความรู้สึกเช่นนี้จะเผยออกมาให้เห็นในภาษากาย ขึ้นอยู่ว่าคุณได้เรียนรู้อะไรจากการสืบค้นการตอบรับเช่นนี้
เสแสร้ง/ทำเสียงผู้ดีจัด
คนจำนวนมากเลือกใช้เสียงผู้ดีจัดหรือการเสแสร้งบางประการเพื่อนำเสนอภาพลักษณ์แห่งความสำเร็จ, ความซับซ้อน,ความชาญฉลาด,ความมั่งคั่ง หรือคุณค่าของชนชั้นสูง
แคแรกเตอร์ดังกล่าวอาจไม่ใช่แก่นแท้ของบุคลิก ในทางตรงกันข้ามลักษณะคนหัวสูงที่ปรากฏออกมานั้นก็คือการสะท้อนความไม่มั่นคงและเป็นการแสวงหาการยอมรับมากกว่า
กระนั้นก็ตามพวกที่ใช้ทำเป็นหัวสูงและใช้เสียงผู้ดีจัดบางส่วนจะเชื่อจริงๆว่าตนเองดีกว่า ฉลาดกว่าและมีคุณค่ามากกว่าพวกเราที่เหลือ ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกที่คิดว่าตนเองไม่ปลอดภัยน่ะ
พวกนี้มั่นใจในตัวเองจะตายไปและอย่าเสียเวลาในการจูงใจให้พวกหัวสูงเหล่านี้ยอมรับนับถือความคิดหรือไลฟ์สไตล์ที่ด้อยกว่า
พวกหัวสูงพันธุ์แท้นั้นมักจะมาจากพวกชนชั้นสูงหรือคิดว่าเป็นชนชั้นสูง เนื่องเพราะภูมิหลังด้านเศรษฐกิจและสังคมคือตัวพยากรณ์ว่าคนคิดและมีความประพฤติอย่างไร
อย่าได้ทึกทักเอาว่าคุณจะสามารถเปลี่ยนวิถีที่พวกหัวสูงเหล่านี้มองโลก
วีนแตก(Whining)
พวกวีนแตกมักจะเป็นผู้ตาม พวกนี้มักไม่มีความกล้าหาญและความมั่นใจในการนำ พวกเขาต้องการให้คนอื่นดูแลตัวเอง พวกนี้รู้สึกช่วยตัวเองไม่ได้และควบคุมไม่ได้
ถ้าคุณต้องการรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นจอมวีนพันธุ์แท้หรือไม่นั้น ลองดูสังคมเพื่อนมนุษย์ของเขาดูสิ พูดให้ง่ายอีกหน่อยก็คือลองดูเพื่อนของเขาดูสักสองคนดูเถอะ เธอคนนั้นจะมีพฤติกรรมอย่างไร?
เธอชอบชักใยหรือเปล่า?
ถ้าเธอแต่งงานแล้ว ลองดูสิว่าเธอมีปฏิสัมพันธ์กับสามีอย่างไร
จอมวีนก็เพราะการวีนได้ผลสำหรับเธอและการวีนเป็นลักษณะที่เอาชนะได้ยาก แม้ว่าจอมวีนอยากจะเปลี่ยนแปลงก็ตาม พฤติกรรมของจอมวีนต่อผู้อื่นจะให้คุณเห็นพรีวิว(preview) ว่าความสัมพันธ์ของคุณจะออกมาในลักษณะใด มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะตัดสินใจว่าคุณจะเผชิญการท้าทายอย่างไร
เสียงแหบ
เสียงแหบมักจะเป็นสัญญาณว่าผู้พูดสูบ แต่มันอาจจะมีสาเหตุจากการเป็นหวัดก็ได้ หรืออาจจะเงื่อนไขทางสภาพร่างกาย
อาจจะเป็นไปได้ว่าผู้พูดเน้นเสียงในบางครั้ง ถามดูก็แล้วกัน
ปกติแล้วถ้าเขาชอบร้องเพลง ปาฐกถาบ่อยๆซึ่งทำให้เสียงของเขาเหนื่อยหอบ คุณจะมีจุดเริ่มต้นในการสนทนาที่อาจเปิดเผยตัวตนของเขา
โดยปกติเสียงคนจะแหบจากการตะโกนตอนดูกีฬา ถามเขาอีกครั้งว่าเสียงเขาแหบเพราะตะโกนเชียร์ทีมฟุตบอลทีมโปรดเปล่า
ถ้าเขาตะโกนมากจนเสียงแหบก็แสดงว่าเขาเป็นแฟนตัวยง และฉันสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นพวกก้าวร้าวหรือชอบการควบคุม
ถ้าไม่ใช่เรื่องที่บอกมาสักอย่าง เขาอาจจะเป็นคนตรงไปตรงมาและชอบตื่นเต้น
พูดอู้อี้
พวกพูดอู้อี้มักจะพูดเบาเสียจนกระทั่งแทบไม่ได้ยิน บ้างก็ปกปิดปากตัวเองด้วยการใช้มือระหว่างพูด บางคนก็บิดหัวหรือมองพื้น
พวกพูดอู้อี้พูดรู้เรื่องเมื่อถูกถาม แต่บางพวกจะพูดชัดไม่ได้เลย แม้ว่าไม่มีการอธิบายทางสรีระที่เกี่ยวกับปรากฏการณ์ดังกล่าว
คนที่พูดอู้อี้แบบเรื้อรังมักจะบอกว่าพวกเขา….
ขาดความมั่นใจ
ขาดความปลอดภัย
วิตกกังวล
ไม่สามารถแสดงความคิดออกมาอย่างแจ่มแจ้งได้
หมกมุ่น
หมดแรง
ป่วย
พวกอู้อี้ไม่สามารถแสดงความสามารถในการเป็นผู้นำหรือปรารถนาที่จะควบคุม อีกพวกอาจจะจิตตกหรือไม่ก็เศร้าโศก
สำเนียง
เราอยู่ในโลกที่หลากหลาย ฉันได้ยินคนพูดถึงหกสำเนียงในแต่ละวันในสหรัฐอเมริกา
สำเนียงของแต่ละคนคือเงื่อมปมที่บอกให้คุณรู้ว่าเขาคิดหรือกระทำอย่างไร
ถ้าฉันพบคนที่พูดสำเนียงต่างประเทศจ๋า ฉันจะมองดูว่าเขามีข้อจำกัดทางด้านภาษาซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการพูดหรือพฤติกรรมของเขาอย่างไรบ้าง ฉันอาจจะนึกไปถึงความเป็นไปได้ที่ว่าเขาอาจจะมีภูมิหลังด้านวัฒนธรรมที่แตกต่างซึ่งส่งผลต่อสำเนียงการพูดของเขา
บางคนมีรู้สึกไม่สบายต่อภาษาที่เขาพูดอาจจะตระหนักในตัวเองเกี่ยวกับการขาดความคล่องแคล่วหรือหมกมุ่นอยู่กับการค้นหาคำที่ถูกต้อง
เขาอาจจะหงุดหงิดหรือกระวนกระวายเพราะความยากลำบากดังกล่าว
ถ้าฉันไม่พิจารณาสำเนียงและความเป็นไปได้ที่เขาจะสื่อสารอย่างแตกต่างไปจากภาษาแม่ของเขา
ฉันอาจจะอ่านบุคลิกภาพของเขาผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง
ฉันอาจจะทึกทักผิดพลาดว่าเขาเป็นคนเชิงรับ,ขี้อาย หรือกระวนกระวาย ซึ่งจริงๆแล้วเขาอาจจะ
ประเด็นสำคัญ
เรียนรู้การฟังความระหว่างบรรทัด : บทสนทนาสองชิ้นเกิดขึ้นในทุกๆการสนทนา อย่างแรกเป็นการใช้คำพูด อย่างหลังขึ้นอยู่กับเทคนิคการใช้เสียงระดับจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก บางครั้งทั้งสองอย่างสอดคล้องต้องกัน แต่โดยมากมักจะไม่นะ เมื่อทั้งสองแบบขัดแย้งกัน ความแตกต่างของเสียงจะเป็นตัวชี้วัดที่เชื่อถือได้มากกว่าคำพูด
ฟังซ่อนหาทางอารมณ์ : เมื่อเรามีอารมณ์หรือคิดว่าไม่อยากพูดกับใครด้วยเหตุผลบางประการ เช่นกระอักกระอ่วน.ไม่ปลอดภัยหรือกลัว เรามักจะขออนุญาตผู้อื่นด้วยสัญญะทางเสียง
เพื่อฟังข้อความที่ไม่ได้พูด :
- โฟกัสที่เสียง ไม่ใช่คำพูด ระหว่างที่สนทนา
- พิจารณาดูสิว่าลักษณะเสียงนั้นเกิดจากความตั้งใจ(เสแสร้ง)หรือว่าไม่ตั้งใจ(คือเป็นธรรมชาติ)
- ดูแพทเทอร์นเสียง ว่าสุดขั้วหรือเบี่ยงเบนจากเสียงปกติมากหรือไม่
- เปรียบเทียบเสียงกับภาษกายและคำพูด
- พิจารณาบริบทและสภาพแวดล้อมของคำพูด