>มีคนเล่าให้ฟังว่า... สมัยก่อน...คุณพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ...ศิลปินเพลง
>เพื่อชีวิต.. แกอยู่ในป่า...กับเพื่อน 5 - 6 คน...ทุกวันก็จะเปลี่ยนเวร
>กัน...ล่าสัตว์ป่า...มาทำอาหาร... วันหนึ่ง...เป็นเวรของคุณพงษ์เทพ แกก็
>คว้าปืนยาว...สะพายบ่า...เดินเข้าป่าไป...อาหารโปรดของคุณพงษ์เทพ...คือแกง
>เนื้อลิง... พอเดินเข้าป่าไปได้สักพัก. เห็นลิงตัวหนึ่ง...นั่งอยู่บน
>ต้นไม้...หันหลังให้.. แกก็รีบยกปืนประทับบ่า...ยิงเปรี้ยง...ไปที่ตัว
>ลิง..
>เหตุการณ์แปลกประหลาดได้เกิดขึ้น...ปกติ...ลิงพอถูกยิง...จะหล่นตุ๊บ...จาก
>ต้นไม้ทันที... แต่ลิงตัวนี้...นั่งจับกิ่งไม้เฉย...ไม่หล่นลงมา...จะว่า
>ยิงไม่ถูก...ก็ไม่น่าเป็นไปได้...เพราะคุณพงษ์เทพ...แกยิงปืนแม่น...ระยะแค่
>นี้เป้าใหญ่ขนาดนี้...ไม่พลาดแน่นอน... ในขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้น...ลิง
>ตัวที่ถูกยิง...ร้องโหยหวน...เสียงดังมาก... ฝูงลิงที่แยกย้ายกันออกหากิน
>อยู่บริเวณใกล้ ๆ...วิ่งแห่กันเข้ามาหาลิงตัวที่ถูกยิง... แล้วร้อง
>โหยหวน...เหมือนกันหมด... แกตกใจ...ยืนตกตะลึง...ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...
>สักครู่...ลิงตัวที่ถูกยิง... โยนวัตถุเล็ก ๆ...สีดำ ๆ..ชิ้นหนึ่ง...ให้
>กับลิงตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด... แล้วก็หล่นตุ๊บ...ลงมาจากต้นไม้...คุณพงษ์
>เทพ...รีบวิ่งไปดู... ลิงถูกยิงเข้าที่หลัง...ทะลุหน้าอก...เลือดแดงฉาน...
>เต็มตัว... คุณพงษ์เทพเห็นแล้ว...ต้องเบือนหน้าหนี...ลิงที่ตกลงมา...เป็น
>ลิงแม่ลูกอ่อน...ขณะที่ถูกยิง...เธอกำลังให้นมลูก...ลูกตัวน้อย...กำลังดูด
>นมอย่างมีความสุข...ทันทีที่ถูกยิง... ถ้าเป็นลิงตัวอื่น...จะหล่นตุ๊บ...
>ลงจากต้นไม้.. แม่ลิงตัวนี้...ยังหล่นไม่ได้...ยังตายไม่ได้.. เพราะเธอ
>ยังมีภารกิจใหญ่หลวงที่ต้องทำ...คือ...รักษาชีวิตลูกน้อย...ให้พ้น
>อันตราย... เธอกัดฟัน...โหนกิ่งไม้ไว้...แม้จะเจ็บปวดแทบขาดใจ...มองดู
>เลือดที่ไหลหยดเป็นทาง...ด้วยความตกใจ...พยายามรวบรวมพละกำลังที่ยังพอมี
>เหลือทั้งหมด... ตะโกนสุดเสียง...ร้องเรียก...ฝูงลิงเข้ามาใกล้ ๆ.. แล้ว
>ก็ฝากฝัง...ให้เลี้ยงลูกน้อยแทนเธอ... หลังจากโยนลูกให้จ่าฝูงแล้ว...มองดู
>ลูก...ถูกพาไปจนลับสายตาแล้ว.. แน่ใจว่า...ลูกปลอดภัยแล้ว...จึงหลับตา...
>แล้วหล่นลงมา...ตาย...คุณพงษ์เทพ...ก้มมองหน้าลิง...แล้วร้องไห้...เพราะที่
>เบ้าตาลิง...มีหยดน้ำตาใส ๆ...กำลังไหลริน... คุณพงษ์เทพ...รีบเดินกลับที่
>พัก...เอาปืนไปเผาทิ้ง...ไม่ยอมออกล่าสัตว์อีกเลย...ตลอดชีวิต.. และภาพ
>ความรักที่ยิ่งใหญ่...ของแม่ลิง...ที่มีต่อลูกน้อย... เป็นแรงบันดาลใจ...
>ให้พงษ์เทพ...แต่งเพลงขึ้นมาเพลงหนึ่ง... ชื่อว่า..."ลิงทะโมน..." เพื่อ
>ยกย่อง...เชิดชู...คุณค่าของความรัก...ที่แม่...มีต่อลูก...
>
>
>แม่นะหรือ... คือผู้สร้าง ทุกสิ่ง อันยิ่งใหญ่ คือผู้รัก ลูกตน กว่าใครใคร
>คือผู้คอย ห่วงใย ทุกเวลา คือคนร้อน เมื่อลูกรุ่ม กลุ้มเรื่องทุกข์ คือคน
>สุข เมื่อลูกนั้น มีหรรษา คือคนปลอบ เมื่อลูกเหงา เศร้าอุรา คือคนคอยให้
>เมตตา ลูกทุกคราว เป็นสายฝน คอยช่วยให้ ลูกสดชื่น เป็นผ้าผืน คอยห่มให้
>เพื่อคลายหนาว เป็นกระโถน คอยรับทุกข์ ทุกเรื่องราว เป็นบันได ไต่ดาว ลูก
>ก้าวไป เป็นคุณครู ผู้สอนสั่ง ทุกอย่างหนอ เป็นคุณหมอ คอยรักษา จะหาไหน
>เป็นทุกสิ่ง ทุกอย่าง ได้ดั่งใจ จะหาใคร ได้เท่าแม่ เหมือนไม่มี สาธยาย
>อย่างไร คงไม่หมด พระคุณแม่ ยากแทนทด เหมือนปลดหนี้ สิ่งล้ำค่า ใดใด ใน
>ปฐพี จะเทียมเท่า คุณแม่นี้ ไม่มีเอย.
วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
สรุปคำบรรยายเรื่องการโภชนาการและการพักผ่อนที่ดี
ส
1
รุปคำบรรยายเรื่องการโภชนาการและการพักผ่อนที่ดี โดย อ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์
ดุลยภาพแห่งชีวิต
คือความสมดุลของชีวิต จำลองภาพเป็นสี่เหลี่ยมคางหมู ด้านล่างเป็นการงาน ด้านบนเป็นชีวิตส่วนตัว ด้านซ้ายและขวาเป็นสังคมและครอบครัว ตรงกลางเป็นสุขภาพ ถ้าทำงานมากชีวิตส่วนตัวก็น้อยลง ที่สำคัญถ้าสุขภาพถูกทำลาย ส่วนที่เหลือก็จะสูญสลายไปหมดการแพทย์วิถีธรรมชาติ
อาจารย์เป็นตำราเดินได้ ในอดีตอาจารย์ต้องทำงานหนักทั้งงานราชการ คลีนิค และครอบครัว ต้องตื่นตีห้าและเข้านอนห้าทุ่ม ส่งผลให้เกิดโรคเครียด กระเพาะอาหาร ภูมิแพ้ และความจำไม่ดี พออายุ 40 ปี จึงลาออกจากราชการ แล้วไปเรียนการแพทย์วิถีธรรมชาติจากออสเตรเลีย นับจากนั้นไม่เคยเจ็บป่วยอีกเลย ปัจจุบันอาจารย์มีความสุขมาก ๆ และหน้าตาดูดีกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วมาก
ทำอย่างไรให้สุขภาพดีไม่เจ็บป่วย
สุขภาพ คือภาพแห่งความสุข ร่างกายแข็งแรง จิตใจแจ่มใสเบิกบาน อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
อาหาร คือแหล่งพลังงานของชีวิต การรับประทานอาหารที่ทำให้สุขภาพดี ไม่เจ็บป่วย และอายุยืน จะต้อง กินอาหารเช้าอย่างราชา อาหารกลางวันอย่างคนธรรมดา และอาหารเย็นอย่างยาจก ดังนั้น อาหารเช้าจึงเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด
2
อนุมูลอิสระ (Free radical) การรับประทานอาหารจะเกิดของเสียที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ หรือเรียกว่าประจุวิ่งหารัก หรือประจุขาดรัก วิ่งไปทั่วร่างกาย อวัยวะที่เล็กที่สุดในร่างกายคือ เซล เซลประกอบด้วย ผนังห้อง และแกนกลางเรียกว่า นิวเคลียส หรือ DNA นิวเคลียสเป็นพิมพ์เขียวที่ทำหน้าที่สร้างเซลใหม่ ส่วนอนุมูลอิสระจะเป็นตัวทำลายผนังห้องและนิวเคลียส ทำให้เซลเนื้อเยื่อเปลี่ยนแปลงไป แต่ร่างกายเราจะมีระบบภูมิคุ้มกัน ถ้าไม่ดูแลสุขภาพให้ดี ภูมิคุ้มกันจะถูกทำลายทำให้เกิดมะเร็งและโรคต่าง ๆ
อาหารเช้า ควรรับประทาน คาร์โบไฮเดรท วิตามินบี และซี ถ้าไม่กินมื้อเช้าชีวิตจะเริ่มต้นด้วยความเป็นกรด (แลคติกแอซิค) ยกเว้นเรามียาวิเศษคือ การหัวเราะ เพราะขณะหัวเราะร่างกายจะเปลี่ยนเป็นด่าง หัวเราะ 1 ครั้ง อายุยืน 5 วินาที อาหารเช้าที่ต่อต้านความเครียดในการทำงานได้แก่ วิตามินบี และซี ซึ่งไม่มีการเก็บสะสม เพราะละลายในน้ำได้หมด
มื้อเช้าที่เร็วและง่ายคือ กล้วยหอม 1 ลูก + ส้ม 1 ลูก + นม 1 กล่อง (หรือ HOT CHOCOLATE) ในกล้วยหอมมีแมกนีเซียม และโปตัสเซียม ในส้มมีวิตามินซี โดยเฉพาะกากส้มขาว ๆ มีเส้นใยไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายในน้ำ จึงดูดซึมพิษในร่างกายและขับออกไป กากส้มมีวิตามินซีมากกว่าน้ำส้ม ในนมมีสารทริบโตเฟน ทำให้กระปรี้กระเปร่า และ อารมณ์ดี
อาหารกลางวัน กินอะไรก็ได้ที่ชอบ เช่น แกงเขียวหวาน ขาหมู ก๋วยเตี๋ยว แต่ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ คือ น้ำตาล และน้ำมัน
อาหารเย็น ต้องกินพืชผักและผลไม้ เพื่อให้ได้ไฟเบอร์ ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ และชะลอความแก่ มื้อเย็นง่าย ๆ เช่น ผัดผัก 1 จาน + ส้มตำ 1 จาน + น้ำผลไม้ 1 แก้ว กินผักผลไม้วันละ ½ กก. จะทำให้แก่ช้า หรือดื่มน้ำผลไม้สดวันละ 3 แก้ว 3 สี แก้วละสี หรือผสมกันก็ได้
3
คาร์โบไฮเดรท ทำหน้าที่ให้พลังงาน มีมากในแป้ง ข้าว ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว วิธีกินคาร์โบไฮเดรทไม่ให้อ้วน คือกินช้า ๆ เคี้ยวให้ละเอียด กินพออิ่ม ที่เหลือเก็บไว้กินในมื้อต่อไป วิตามินบี มีมากในธัญญพืช ลูกเดือย ข้าวกล้อง ถั่วเหลือง ถั่วแดง เต้าหู้
โปรตีน มีมากในเนื้อสัตว์ อายุเกิน 35 รับประทานโปรตีนพอประมาณ ถ้ามากจะทำให้ดูดซึมแคลเซียมไม่ดี เกิดโรคกระดูกผุ สัตว์ใหญ่ก่อนตายจะหลั่งสารแอดรีนาลิน (สารทุกข์) ในกระแสเลือด จึงไม่ควรกินเลือดสัตว์ ให้เปลี่ยนไปกินปลาแทน เพราะย่อยง่ายและมีไขมันชั้นดี ทำให้การไหลเวียนของเลือดดี ป้องกันโรคหัวใจและสมองขาดเลือด แก้มปลามีแคลเซียมมากกว่าส่วนอื่น ควรกินปลาสัปดาห์ละ 3 มื้อ อย่ากินทุกมื้อ เพราะจะทำให้เลือดออกไม่หยุด ชาวเอสกิโมโดนมีดบาดเลือดจะออกไม่หยุดเพราะกินปลาทุกมื้อ หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรกิน Fish oil เพราะอาจทำให้ตกเลือด
แคลเซียม ในวัยทองต้องการแคลเซียมวันละ 1200-1500 มก. และควรกินปลาเล็กปลาน้อยเพื่อให้ได้แคลเซียมเพียงพอ
ผักขมฝรั่ง (spinach) มีธาตุสังกะสี เหล็ก และสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ต้นไม้ที่มีเปลือกจะมีสารต่อต้านสิ่งแวดล้อมภายนอก เพราะต้นไม้อยู่กับที่ วิ่งหนีมลพิษไม่ได้ จึงมีเปลือกเพื่อป้องกันมลพิษ
4
น้ำตาล ต้องไม่ขัดสี เช่นน้ำตาลทรายแดง และน้ำตาลกรวด น้ำตาลทรายขาวมีสารขัดขาว ซึ่งเป็นสารเร่งความเครียด เป็นอันตรายต่อสุขภาพ น้ำตาลเทียมดีกว่าน้ำตาลขัดสี แต่รสชาดไม่ดี
ความจำเป็นในการกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ
ถ้าวัยหนุ่มสาว ควรกินให้ครบ 3 มื้อ แต่ถ้าวัย 35 ขึ้นไป และวัยทอง ควรมีอาหารว่าง (snack) ที่ให้พลังงานไม่มาก กินหลายมื้อได้แต่ครั้งละน้อย ๆ และเลือกอาหารที่ย่อยง่าย ข้อควรคำนึงคือ
กินอย่างอารมณ์ดี เช่นกินกับคนที่เรารัก กินช้า ๆ เคี้ยวให้ละเอียด นึกถึงแต่ความสุข ถ้ากินมื้อละ 15 นาที 3 มื้อ ก็เท่ากับเรามีความสุข 45 นาทีแล้ว และกินอย่างมีน้ำใจ นึกถึงชาวนาอย่ากินทิ้งกินขว้าง กินพอประมาณ อิ่มแล้วเลิกวิธีดื่มกาแฟ
- ต้องไม่ใช้ครีมเทียม เพราะครีมเทียมคือน้ำมันมะพร้าว ทำให้มันจุกอกตาย กาแฟ 3 อิน 1 ไม่ดี เพราะผสมครีมเทียม กาแฟมีอะโลม่า ดื่มแล้วอารมณ์ดี การไหลเวียนของเลือดดี
วิธีชงกาแฟ ใส่กาแฟ ½ แก้ว เติมนมอุ่น (Low fat) ½ แก้ว และน้ำตาล
วิธีดื่มกาแฟที่ดีที่สุดต้องไม่ใส่อะไรเลย กาแฟเอสเปรสโซ่ดื่มรวดเดียวหมดจะหวานกว่าจิบทีละนิด ดื่มกาแฟวันละไม่เกิน 3 แก้ว ถ้าเกินจะดึงแคลเซียมจากไตก
5
ารพักผ่อน หลักการคือ ต่อสู้ (fight) และบินหนี (flight) 1. หนีความจำเจซ้ำซาก เช่นเที่ยวทุก 1 เดือน หรือเปลี่ยนทรงผมใหม่ มีคำกล่าวว่า เปลี่ยนที่ (สถานที่) ได้ห้า เปลี่ยนหน้า (ใบหน้า ,ทรงผม) ได้สิบ
2. มองโลกในแง่ดี เช่น มีน้ำ ½ แก้ว ต้องมองว่ายังเหลือน้ำอีกตั้ง ½ แก้ว ไม่ใช่น้ำหมดไปแล้วตั้ง ½ แก้ว อีกกรณีคือภรรยาของอาจารย์จะไม่ให้ความสำคัญที่จะต้องทราบว่าในแต่ละวันอาจารย์จะอยู่ที่ไหน ขณะเดียวกันอาจารย์เป็นฝ่ายต้องทราบว่าภรรยาอยู่ที่ไหนเพื่อกลับมาทำหน้าที่เทคแคร์ภรรยา ให้ทัน กรณีนี้ภรรยาจะไม่เกิดความทุกข์กังวลในการสอดส่องสามี
3. Second job นอกจากงานหลักเพื่อเลี้ยงชีวิตและครอบครัวแล้ว ควรมีงานรองอย่างที่ 2 ที่เราชอบ ที่เราไม่คิดว่าเป็นงาน ทำแล้วมีความสุข เช่น เขียนหนังสือ สอนหนังสือ หรือบรรยาย
การนอนหลับสนิท จะทำให้เกิดเมลาโทนิน ซึ่งเป็นสาร antioxidant ทำหน้าที่กำจัดของเสียที่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน ปัจจุบันเมลาโทนินที่มีขายอยู่จะออกฤทธิ์เพียง 6 นาทีเท่านั้น แต่ร่างกายเราต้องการ 6 ชม.
การพักผ่อนที่ดีที่สุด คือการอยู่เฉย ๆ อยู่กับตัวเอง อย่าให้งานและสังคมมายุ่งเกี่ยว ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เช่น ดูหนัง ฟังเพลง จิบชา ล่องเรือ ฟิตเนส หรือสปา การออกกำลังกายก็เป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง
ส 6รุปคำถามคำตอบ
1. วันหยุดสุดสัปดาห์ ดื่มเหล้าเบียร์ได้หรือไม่
ได้นิดหน่อย อย่าดื่มให้เมา ดื่มกินอย่างคนฝรั่งเศสคือ กินน้อยอายุยืน(eat less live more) คนฝรั่งเศสจะจิบไวน์เพียงเล็กน้อยก่อนอาหาร และทานเนื้อสัตว์ชิ้นบาง ๆ ในขณะที่คนอเมริกันดื่มไวน์แก้วใหญ่ ๆ และกินเนื้อสัตว์ติดมันหนาชิ้นโต ๆ 2. นมกับน้ำเต้าหู้อะไรดีกว่ากัน
คนไทยประมาณ 1/3 หรือ 30% ไม่มีสารย่อยสลายนม ถ้าดื่มนมไม่ได้ให้กินโยเกิร์ตแทนเพราะมีประโยชน์โดยเฉพาะผู้หญิง ใช้ทาหน้าทำให้หน้าตึง และมีแลคโตไบซิไลท์ เข้าไปอยู่ในทางเดินอาหารและช่องคลอด ช่วยย่อยและไม่ติดเชื้อราที่ช่องคลอด
น้ำเต้าหู้สกัดจากถั่วเหลือง มีฮอร์โมนไฟโตเอสโตรเจน ยับยั้งการเกิดมะเร็งเต้านมและมดลูก แต่น้ำเต้าหู้ไม่มีแคลเซียม ต้องกินเต้าหู้แข็งจึงได้แคลเซียม เต้าหู้ยิ่งแข็งยิ่งมีแคลเซียมสูง 3. แก้วมังกรทำให้เป็นมะเร็งหรือไม่
ไม่น่าจะใช่ ยังไม่เคยอ่านเจอ แก้วมังกรมาจากเวียดนาม มีไฟเบอร์สูง แคลอรี่ต่ำ ควรฟังหูไว้หู อย่าตระหนกเกินกว่าเหตุ วิธีแก้กินแก้วมังกรน้อยลง เพิ่มฝรั่งและแอปเปิ้ลแทน 4. ฮอร์โมนเพศหญิงในวัยทองทำให้เกิดมะเร็งหรือไม่
เป็นเพียงผลงานวิจัยของอเมริกาเท่านั้น โดยทำการทดลองกับกลุ่มหญิงที่เป็นโรคหัวใจ อ้วน และหน้าอกโต ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งอยู่แล้ว โดยการให้ฮอร์โมนอยู่ชนิดเดียว ขนาดเดียว เกิน 5 ปี พบว่าปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น 0.25%7
5. อาหารตัดต่อพันธุกรรม (GMO) มีอันตรายหรือไม่ 6.โยเกิร์ตและสมูทตี้
หลักการของสมูทตี้ คือต้องการไฟเบอร์ไปช่วยดูดพิษ แต่โยเกิร์ตมีแลคโตไบซิไลท์อย่างเดียว ไม่มีไฟเบอร์ วิธีทำง่าย ๆ คือ โยเกิร์ต + น้ำผึ้ง + กล้วยหอม 7. การนอนให้ได้ประโยชน์
ควรนอนก่อน 4 ทุ่ม ในห้องที่ตกแต่งเหมือนโรงแรม มีม่านติด 2 ชั้น เพื่อป้องกันแสง ให้ตื่นมาเพราะถึงเวลาตื่น ไม่ใช่เพราะแสงแดดแยงตา ในขณะที่เราหลับในความมืดระบบฮอร์โมนจะทำงานปกติ การนอนในห้องที่มีแสงไฟ ไม่ดีเพราะฮอร์โมนจะสร้างในความมืดในขณะที่เรานอนหลับสนิท การงีบในตอนบ่ายดีในแง่ทำงานได้ดีขึ้น 8. ออกกำลังกายตอนไหนดี
เวลาไหนก็ได้ที่เหมาะสมกับเราที่สุด อย่ายึดมั่นถือมั่นแล้วเราจะมีความสุข ตัวเราเองรู้เอง
ออกกำลังกายวิธีไหนก็ได้
ออกกำลังกายวิธีไหนก็ได้
8
ออกกำลังกายตอนเช้า ได้แสงแดดตอนเช้า ได้วิตามินดี กระดูกหนาขึ้น อาหารเช้าจะต้านสารอนุมูลอิสระที่เกิดจากการออกกำลังกายได้ พอหายเหนื่อยให้อาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะทำให้กล้ามเนื้อกระฉับกระเฉง ทำงานได้ดี ไว้ตีสุนัข ทำให้กระดูกแขนไม่บาง ไม่โดนแสงแดด แต่การออกกำลังกายทำให้เกิดอนุมูลอิสระ วิธีแก้คือดื่มน้ำผลไม้สด 1 แก้ว ก่อนและหลังออกกำลังกาย จะต้านอนุมูลอิสระได้ การออกกำลังกายทำให้ร่างกายตื่นตัวจึงควรอาบน้ำเย็นก่อนแล้วตามด้วยน้ำอุ่น จะทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และหลับสบาย
9. น้ำมันประกอบอาหารชนิดไหนดี
น้ำมันมี 2 ชนิด คือชนิดกรดไขมันอิ่มตัว เช่น น้ำมันหมู วัว ไม่ควรกินเพราะไขมันจะไปอุดตามเส้นเลือด และชนิดกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอก (ทนความร้อนได้ดีที่สุด) ทานตะวัน ข้าวโพด ฟักทอง ถั่วเหลือง ถ้าอยากให้หอมเมื่อปรุงอาหารเสร็จปิดไฟแล้วค่อยใสน้ำมันงา เพราะเป็นน้ำมันที่ไหม้ง่าย 10. นมจากพืชและสัตว์อย่างไหนมีธาตุเหล็กมากกว่า
นมจากสัตว์มีธาตุเหล็กมากกว่า นมแพะ นมจามรีดีกว่านมวัวเพราะไขมันน้อยแต่ไม่ค่อยอร่อย นมวัวอร่อยแต่มีไขมันมากที่สุด วิธีแก้ดื่มนมวัวแบบพร่องมันเนยแทน 11. การทำดีท็อกซ์
หลักการคือนำกากอาหารใส่ในลำไส้ เช่น กาแฟ เพื่อทำให้สารพิษออกมา เสียเงินและทรมาน ควรทำดีท็อกซ์แบบชาวบ้านคือ กินมังสวิรัติสัปดาห์ละ 1 วัน อาจารย์จะดีท็อกซ์ทุกวันเสาร์โดยไม่กินเนื้อสัตว์ แต่จะต้มจับฉ่ายใส่เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ และเห็ดหลาย ๆ ชนิด ใส่ผักขม คะน้า ไชเท้า กวางตุ้ง ใส่น้ำมันงา และพริกไทยดำ โดยกินให้หมดภายใน 1 วัน 9
12. กินกาแฟแล้วนอนไม่หลับ 13. นมเย็นกับนมอุ่นอย่างไหนดีกว่ากัน
สารอาหารเท่ากัน แต่นมอุ่นดีกว่า (55 องศา C) เพราะแตกตัวได้ทริบโตเฟน ทำให้อารมณ์ดี นมเย็นจะไม่แตกตัว วิธีอุ่นนม ให้เอาน้ำใส่แก้ว แล้วนำไปเข้าไมโครเวฟจนร้อนแล้วค่อยเอานมใส่ 14. ผักผลไม้สดกับน้ำผักผลไม้คั้น
ดีทั้ง 2 อย่าง แต่ถ้าผักผลไม้สดต้องกินเป็นจำนวนมากเป็น กก. ถึงจะได้สารอาหารเพียงพอ แต่ถ้าคั้นเป็นน้ำ ดื่มเป็นแก้วพอไหว 15. อาหารรักษาโรคข้อ
ใช้ เซลารี่ 4 ก้านใหญ่ + แอปเปิ้ลหรือฝรั่ง + แครอท นำมาแยกกากดื่มวันละ 1 แก้ว ทุกวัน จะแก้โรคข้อ เข่าจะไม่เจ็บไม่ปวด หรือนำเซลารี่ไปผัดกับกุ้ง แต่ต้องกินให้ได้ 4 ก้านใหญ่ จึงจะเพียงพอ ดังนั้นนำไปแยกกากดีกว่า เซลารี่จะมีสรรพคุณแก้ปวดบวม แอปเปิ้ลหรือฝรั่งมีวิตามีซีช่วยเรื่องน้ำในข้อ ส่วนแครอทช่วยในเรื่องเยื่อเมือก10
16. น้ำผลไม้แบบกล่อง 17. วิธีทานกล้วยหอมไม่ให้ลมขึ้น
ให้กินกล้วยห่าม ๆ จะไม่หวานและได้คาร์โบไฮเดรท ถ้าดิบหรือสุกเกินไปจะได้แต่น้ำตาล 18. การปั่นกับการแยกกาก (คั้น)
การปั่นเป็นการตีให้แตก จะทำให้สารอนุมูลอิสระออกมา ไม่ดี แต่การแยกกาก เป็นการแยกน้ำและแยกกากออกจากัน ได้คุณค่ามากกว่า แต่การแยกกากจะไม่ได้ไฟเบอร์ ถ้าต้องการไฟเบอร์ให้เอากากมาปั้นเป็นก้อนกินชดเชยได้ 19. น้ำโซดาล้างท้องได้หรือไม่
โซดาเป็นน้ำด่าง มีข้อดีคือ ถ้าในท้องมีกรดมาก โซดาจะทำให้เกิดความสมดุลและสบายท้อง แต่ถ้าท้องมีแก๊ส โซดาจะทำให้ท้องอืด ถ้ากินแล้วสบายดีก็กินต่อไปได้ 20. อาหารที่กินแล้วผมไม่หงอก
ไม่มี ถ้าอยากหายต้องใส่วิก ผมหงอกเกิดจากกรรมพันธุ์ และความเครียด อาหารและแร่ธาตุที่ช่วยให้ผมหงอกช้าได้แก่ วิตามินบี และซี สังกะสี (zinc) แต่ควรกิน zinc อะมิโน ครีเรท อย่ากินzinc ซัลเฟรด เพราะกัดกระเพาะ หรือกินอาหารเสริม เช่น เซ็นทรัม แบลคมอร์ จะช่วยให้เส้นผมดำขึ้น11
21. การย้อมผมกับมะเร็ง 22.ประโยชน์ของน้ำสมุนไพร
สมุนไพร (HERB) คือพืชผักผลไม้ จึงมีคุณค่าทางยาแล้วแต่ชนิด เช่น เครนเบอรี่ หรือกระเจี๊ยบ จะมีสรรพคุณทางยาช่วยเรื่องการอักเสบในกระเพาะปัสสาวะ หรือนิ่วในไต 23. ตำราอาหารสำหรับผู้ชาย
กินกล้วย + น้ำผึ้ง + พริกไทยดำ จะทำให้หลับสบาย ถ่ายสะดวก ถ้าผู้ชายทานต่อเนื่อง 6 เดือน จะเห็นผลบางอย่างแล วิธีทำใช้กล้วยน้ำว้าหรือกล้วยหักมุกผึ่งแดดเดียว แล้วโรยน้ำผึ้งและพริกไทยดำ
การดื่มน้ำเมื่อท้องว่างผ่านกระเพาะเพื่อรักษาสุขภาพที่ดี
>การดื่มน้ำเมื่อท้องว่างผ่านกระเพาะเพื่อรักษาสุขภาพที่ดี
>ในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้เป็นที่นิยมการดื่มน้ำทันทีหลังตื่นนอนตอนเช้า
>(ก่อนแปรงฟัน) เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์
>พบว่าน้ำสามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถบำบัดรักษาโรคได้
>เราสามารถใช้น้ำเพื่อบำบัดรักษาโรคได้หลายโรค
>มีการพิสูจน์จนยอมรับว่าสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ได้ผล 100%
>(ค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา) ปวดหัว ปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ
>โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็ว โรคลมบ้าหมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ
>โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไต และยูริก
>โรคแสลงคลื่นไส้ต่างๆ โรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวง โรคเบาหวาน
>โรคอาการท้องผูก โรคตา โรคภายในสตรี มะเร็ง และรอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู
>จมูก
>
>วิธีการรักษาปฏิบัติดังนี้
>1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว (640 ซีซี)
>2. หลังจากนั้นสามารถแปรงฟันและล้างหน้าได้ แต่ต้องไม่ดื่ม
>หรือรับประทานอะไรจนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ
>3. หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาที
>ต้องไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานเลย จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป
>4. ผู้ป่วย หรือ คนชรา ที่ไม่สามารถดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ขอให้ค่อยๆ ดื่ม
>ค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ จนได้ครบ 4 แก้ว
>
>ข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าวจะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรคที่เป็นอยู่ค่อยๆ
>เบาและหายขาดได้ในที่สุด วิธีนี้ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น
>จะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น จากสถิติข้อมูลโรคที่บำบัดรักษาทำให้หายได้ภายใน
>เวลาดังนี้
>1. โรคความดันโลหิตสูง 30 วัน
>2. โรคกระเพาะ 10 วัน
>3. โรคเบาหวาน 30 วัน
>4. โรคท้องผูก 10 วัน
>5. โรคมะเร็ง 180 วัน
>6. โรควัณโรค 90 วัน
>
>สำหรับโรคไขข้ออักเสบจะเห็นผลภายใน 3 วันในสัปดาห์แรกให้ปฏิบัติทุกวัน
>วิธีรักษาแบบนี้ไม่มีผลเสียแต่อย่างใด
>เพียงแต่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้น และหลังดื่มน้ำไปแล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง
>จะปวดปัสสาวะ ซึ่งอาจไม่สะดวกในการเดินทางบ้างเท่านั้น
>
>ขอให้มีสุขภาพที่ดีทุกท่าน โดยคุณสมชาติ นิลทรานนท์
>ในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้เป็นที่นิยมการดื่มน้ำทันทีหลังตื่นนอนตอนเช้า
>(ก่อนแปรงฟัน) เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์
>พบว่าน้ำสามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถบำบัดรักษาโรคได้
>เราสามารถใช้น้ำเพื่อบำบัดรักษาโรคได้หลายโรค
>มีการพิสูจน์จนยอมรับว่าสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ได้ผล 100%
>(ค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา) ปวดหัว ปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ
>โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็ว โรคลมบ้าหมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ
>โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไต และยูริก
>โรคแสลงคลื่นไส้ต่างๆ โรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวง โรคเบาหวาน
>โรคอาการท้องผูก โรคตา โรคภายในสตรี มะเร็ง และรอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู
>จมูก
>
>วิธีการรักษาปฏิบัติดังนี้
>1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว (640 ซีซี)
>2. หลังจากนั้นสามารถแปรงฟันและล้างหน้าได้ แต่ต้องไม่ดื่ม
>หรือรับประทานอะไรจนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ
>3. หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาที
>ต้องไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานเลย จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป
>4. ผู้ป่วย หรือ คนชรา ที่ไม่สามารถดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ขอให้ค่อยๆ ดื่ม
>ค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ จนได้ครบ 4 แก้ว
>
>ข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าวจะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรคที่เป็นอยู่ค่อยๆ
>เบาและหายขาดได้ในที่สุด วิธีนี้ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น
>จะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น จากสถิติข้อมูลโรคที่บำบัดรักษาทำให้หายได้ภายใน
>เวลาดังนี้
>1. โรคความดันโลหิตสูง 30 วัน
>2. โรคกระเพาะ 10 วัน
>3. โรคเบาหวาน 30 วัน
>4. โรคท้องผูก 10 วัน
>5. โรคมะเร็ง 180 วัน
>6. โรควัณโรค 90 วัน
>
>สำหรับโรคไขข้ออักเสบจะเห็นผลภายใน 3 วันในสัปดาห์แรกให้ปฏิบัติทุกวัน
>วิธีรักษาแบบนี้ไม่มีผลเสียแต่อย่างใด
>เพียงแต่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้น และหลังดื่มน้ำไปแล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง
>จะปวดปัสสาวะ ซึ่งอาจไม่สะดวกในการเดินทางบ้างเท่านั้น
>
>ขอให้มีสุขภาพที่ดีทุกท่าน โดยคุณสมชาติ นิลทรานนท์
บทเรียนจากคำว่า “ เสียดาย”
---- บทเรียนจากคำว่า “ เสียดาย” ของรุ่นพี่หรืออดีตมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1) ณรงค์วิทย์ แสนทอง peoplevalue@yahoo.com
คนที่กำลังทะเลาะกันมองไม่เห็นหรอกว่าตัวเองถูกหรือผิด คนที่ไม่เคยลำบากไม่รู้หรอกว่าความลำบากนั้นเป็นอย่างไร คนที่ไม่เคยเป็นหนี้ไม่รู้หรอกว่าการรอคอยให้หมดหนี้นั้นทรมาณเพียงใด คนที่ไม่เคยตกงาน ไม่รู้หรอกว่าการได้งานทำนั้นสำคัญแค่ไหน ฯลฯ เรื่องบางเรื่องในชีวิตนี้เราอาจจะมีโอกาสทดลองหรือสัมผัสได้มากกว่าหนึ่งครั้ง เรื่องบางเรื่องมีโอกาสแก้ตัวได้ เช่น เคยลำบากมาก่อนเมื่อผ่านชีวิตลำบากมาได้แล้ว ก็พอจะรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ลำบากอีกครั้ง
แต่.....เรื่องบางเรื่องในชีวิตนี้จะผ่านมาและเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ไม่มีโอกาสแก้ตัว เพราะเรื่องบางเรื่องต้องอาศัยเวลาเกือบทั้งชีวิตจึงจะรู้ว่าสิ่งที่ผ่านมา นั้นถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี และเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งสำหรับคนที่เป็นลูกจ้างหรือมนุษย์เงินเดือน คือประสบการณ์ชีวิตและข้อคิดจากการเป็นลูกจ้าง ข้อคิดหรือบทเรียนส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาล่วงเลยไปแล้ว ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ผิดซ้ำเรื่องเดิมกับคนรุ่นก่อนๆ ผมจึงขอเป็นตัวแทนของรุ่นพี่ๆอดีตมนุษย์เงินเดือนมาบอกเล่าให้ฟังว่าคนที่ เคยทำงานกินเงินเดือนในรุ่นที่ผ่านๆมาเขาหันกลับมามองอดีตแล้วเกิดความ รู้สึก “ เสียดาย ” อะไรบ้าง หรือถ้าจะพูดง่ายๆคือ เรื่องไหนบ้างที่อดีตมนุษย์เงินเดือนคิดว่าถ้าย้อนเวลากลับมาได้จะทำให้ดี กว่าที่ผ่านมา
วันนี้จึงอยากจะสรุปคำว่า “ เสียดาย ” ของอดีตมนุษย์เงินเดือน เพื่อฝากเตือนใจมนุษย์เงินเดือนรุ่นใหม่ให้หลีกเลี่ยงหรือป้องกันดังนี้
เสียดายไม่ตั้งใจทำงานในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน
ไม่ว่าจะเป็นอดีตมนุษย์เงินเดือนหรือมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆในปัจจุบัน มักจะรู้สึกเสียดายกับชีวิตการทำงานที่ผ่านมาเนื่องจากช่วงแรกๆของการทำงานไม่ค่อยตั้งใจและทุ่มเทมากนัก เนื่องจากตอนนั้นคิดว่าทำงานแลกกับเงิน ได้เงินน้อยก็ทำน้อย ที่ไหนให้มากก็ขยันขึ้นมาหน่อย คิดอย่างเดียวว่าถ้าขยันทำมาก เจ้าใจจะติดใจและใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เราก็เหนื่อยอยู่คนเดียว มารู้ตัวอีกครั้งก็ต่อเมื่อทำงานไปตั้งนานไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเสียที เด็กรุ่นใหม่ๆที่เพิ่งเข้ามาแซงหน้าไปเสียแล้ว ที่สำคัญชีวิตช่วงแรกที่ทำงานมักจะเป็นช่วงที่เราจะรู้สึกว่าทำงานเหนื่อยกว่าตอนเรียน ดังนั้น วัยนี้คนทำงานบางคนก็เริ่มเที่ยว ดื่ม กิน ใช้ชีวิตเปลืองมาก เลิกงานเสร็จเที่ยวต่อจนดึกจนดื่น เผลอๆบางวันใส่ชุดเดิมมาทำงาน(เพราะยังไม่ได้กลับบ้านหรือที่พัก) แล้วจะทำงานดีได้อย่างไร กายและใจมาทำงานเพียงครึ่งเดียว เพื่อนบางคนก็มัวแต่ทำงานเพื่อค้นหาตัวเองว่างานที่กำลังทำอยู่นั้นใช่สิ่งที่ต้องการหรือไม่ บางคนก็ทำงานเพื่อรอโอกาสหางานใหม่ สุดท้ายชีวิตการทำงานในช่วงแรกๆแทนที่จะมีเส้นการเรียนรู้ที่สูงชัน กลับกลายเป็นเส้นการเรียนรู้ที่แบนราบ อายุงานผ่านไป แต่อายุใจที่มีต่องานยังอยู่เท่าเดิม
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะตั้งใจและขยันทำงานตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาทำงาน และจะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่รับผิดชอบ และจะลดหรืองดการเที่ยวและดื่มให้น้อยลง เพราะตอนนี้ผลกรรมเริ่มสนองให้เห็นแล้วว่าการใช้ชีวิตแบบประมาทนั้นส่งผลต่อสุขภาพร่างกายระยะยาว
เสียดายที่แต่งงานเร็วไปหน่อย
มนุษย์เงินเดือนหลายคนเสียโอกาสในความก้าวหน้าในอาชีพไปเพราะรีบเป็นฝั่งเป็นฝาเร็วเกินไป คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว หาเงินได้เองแล้ว ปกครองและดูแลตัวเองได้แล้ว ก็ริคิดที่จะไปเอาคนอื่นมาดูแลเพิ่มเติม(ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้ดูแลพ่อแม่ที่ส่งเสียให้เรียนมาจนจบ) เมื่อชีวิตแต่งงานเข้ามาเร็วชีวิตครอบครัวเข้ามาเร็ว ปัญหาประจำตำแหน่งชีวิตคู่ก็เข้ามาเร็ว ทั้งๆที่อายุงานและประสบการณ์ชีวิตในหน้าที่การงานยังน้อยอยู่ ทำให้ปัญหาครอบครัวเริ่มมาเป็นตัวถ่วงในเรื่องความก้าวหน้าในอาชีพ เพราะไหนจะต้องให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น เวลาที่จะทุ่มเทกับงานก็น้อยลง ถ้าใครยังทุ่มเทกับงานมากอยู่อีกก็จะทำให้เกิดปัญหาครอบครัว เงินเก็บที่ยังไม่เต็มที่ก็ต้องควักออกมาใช้ เพราะมีลูกทั้งๆที่ยังไม่พร้อมในหลายๆด้าน คิดง่ายๆว่าในช่วงเวลาเดียวกันเพื่อนเราที่ยังไม่แต่งงานเขามีเวลาทุ่มเทกับการทำงานเพื่อปีนป่ายขึ้นไปสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จ ในขณะที่เราต้องปีนป่ายเหมือนกับเขา แต่เราต้องกระเตงคู่สามีหรือภรรยาและลูกไปด้วย นึกดูเอาเองก็แล้วกันนะครับว่าใครจะปีนไปได้สูงและไกลกว่ากัน
ถ้าย้อนเวลาไปได้ อยากจะทำงานก่อนสักระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสเลื่อนตำแหน่งมาบ้างแล้ว จึงคิดจะแต่งงาน อย่างน้อยก็ต้องมีเงินเก็บมาบ้างแล้ว หรืออาจจะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานที่เพียงพอต่อการหางานใหม่ที่มีตำแหน่งที่สูงกว่าก่อนจึงจะแต่งงาน และการที่เรามีเวลาทำงานผ่านไปสักระยะหนึ่งก็น่าจะมีเวลาในการคบหาหรือดูใจกับที่เราจะเลือกมาเป็นคู่ได้ดีขึ้น
เสียดายที่ไม่ได้ศึกษาต่อ
ความเสียดายข้อนี้ผมเชื่อว่าเกินครึ่งของมนุษย์เงินเดือนที่มีความรู้สึกแบบนี้ เพราะตอนเข้ามาทำงานแรกๆ เกือบทุกคนมักจะคิดว่าจะหาเวลาศึกษาต่อ รอเก็บเงินค่าเทอมไปสักพักก่อนและรอให้ทำงานเข้าที่ก่อน แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างทำให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่พลาดเป้าหมายนี้ไป เช่น งานยุ่งไม่มีเวลาเรียน พอจะเรียนก็เปลี่ยนงาน(เหตุผลเดิมคือรอให้งานเข้าที่แล้วค่อยเรียน) ไม่มีเงินค่าเทอม ขี้เกียจอ่านหนังสือ สอบไม่ได้(เพราะไม่ตั้งใจ) ใจอยากเรียนแต่ไม่เคยแม้แต่จะลงมือทำอะไรเลย เลือกที่เรียนมากเกินไป บางคนลองไปเรียนแล้วแต่ไปไม่รอดเพราะแบ่งเวลาไม่เป็น อดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนคิดย้อนกลับไปว่าถ้าตอนนั้นเรียนต่อในระดับนั้นระดับนี้ ป่านนี้คงจะประสบความสำเร็จไปมากกว่านี้แน่นอน เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งมีโอกาสดีๆเข้ามาในชีวิต คุณสมบัติครบทุกอย่าง ขาดอย่างเดียวคือวุฒิการศึกษาไม่ถึง เลยเสียโอกาสที่สำคัญในชีวิตการทำงานไป มาถึงตอนนี้ก็แก่เกินเรียนแล้ว ยิ่งออกมาทำธุรกิจส่วนตัวถึงแม้เวลาจะมีมากขึ้น แต่กำลังใจมีน้อยลง แรงใจมีน้อยลง และไม่รู้จะเรียนไปทำไม เพราะงานธุรกิจส่วนตัวที่ทำอยู่ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาสูงๆก็ได้
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คิดว่าจะต้องตัดสินใจเรียนตั้งแต่เพิ่มเริ่มทำงานใหม่ๆสักปีสองปี จะยอมอดทนไปสักระยะหนึ่ง และจะเรียนให้จบก่อนที่จะเปลี่ยนงานใหม่หรือมีครอบครัว
มาติดตามกันต่อไปในวันพุธหน้านะครับว่ายังมีเรื่องอะไรอีกบ้างที่อดีตมนุษย์เงินเดือนรู้สึก “ เสียดาย" ” กับชีวิตการเป็นมนุษย์เงินเดือนในอดีตที่ผ่านมา ความเสียดายนั้นจะตรงกับชีวิตจริงของท่านหรือไม่ และควรจะทำงานอย่างไรจึงจะไม่รู้สึก “ เสียดาย ” เหมือนอดีตมนุษย์เงินเดือนหลายๆคน
บทเรียนจากคำว่า “ เสียดาย” ของรุ่นพี่หรืออดีตมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 2)
วันนี้เรามาดูกันต่อนะครับว่า มนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆและอดีตมนุษย์เงินเดือนเขารู้สึกดายอะไรบ้างในชีวิต ของการเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ผ่านมา
เสียดายที่มัวแต่ละเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน
มนุษย์เงินเดือนหลายคนเสียเวลาไปกับปัญหาคนเยอะมาก ทั้งปัญหาหัวหน้า ปัญหาเพื่อนร่วมงาน บางคนก็มีปัญหากับลูกน้องอีก วันๆเสียเวลาของสมองไปกับการคิดถึงปัญหาคนอื่น ตอนที่เป็นลูกจ้างเรามักจะคิดว่าปัญหาทะเลาะกับคนทำงานเป็นปัญหาใหญ่ เลยใช้เวลากับมันมาก เครียดกับมันบ่อย แทบจะไม่มีเวลาไปพัฒนาหรือปรับปรุงงานหรือพัฒนาตนเองเลย ตอนนั้นลืมไปว่าจริงๆแล้วไม่มีใครทำงานอยู่กับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานอยู่กับคนที่เราไม่ชอบไปตลอดชีวิตเช่นกัน แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดแบบนี้ คิดอย่างเดียวว่าวันนี้เรากับเขาจะมีปัญหากันเรื่องอะไรอีก คิดว่าเรื่องเมื่อวานมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนผิด ทำไมเขาจึงเป็นคนแบบนั้น สุดท้ายเราก็จะจมอยู่กับปัญหาคนที่บางครั้งเคยหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแล้ว ปัญหาคนเก่าหายไป แต่..ปัญหาคนใหม่ก็เกิดขึ้น
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะคิดเสียว่าปัญหาคนเหมือนกับปัญหารถชนกันบนถนนที่เราไม่ต้องไปสนใจกับให้มากนัก แต่เราควรจะสนใจว่าเส้นทางที่เรากำลังจะเดินไปนั้นอยู่อีกไกลหรือไม่ เรามีเวลาเหลืออีกนานหรือไม่ ต้องคิดว่าไม่มีใครทำงานกับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานกับใครไปตลอดชีวิตเช่นกัน และคิดว่าถ้าเรารับปัญหาคนอื่นไม่ได้ เราคงจะก้าวขึ้นไปในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นไปไม่ได้ เพราะยิ่งสูงปัญหาคนยิ่งมากและซับซ้อนมากขึ้น
เสียดายที่เปลี่ยนงานมากไปหน่อย
ถ้าดูประวัติมนุษย์เงินเดือนบางคน จะเห็นว่าเปลี่ยนงานทุกปีๆละครั้งสองครั้ง ตอนที่เปลี่ยนงานก็มีเหตุผลมาสนับสนุนมากมาย เช่น เงินเดือนสูงกว่า อยู่ใกล้บ้าน เบื่อที่ทำงานเก่า งานใหม่ท้าทายกว่า อยากทำงานกับบริษัทข้ามชาติ ฯลฯ แต่เมื่อมาถามตอนนี้ว่าผลการเปลี่ยนงานบ่อยในอดีตสรุปว่าดีหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่หลายคนตอบถ้าพิจารณาถึงผลระยะยาวแล้วอาจจะไม่เป็นผลดีมากนัก เพราะประสบการณ์ในแต่ละที่นั้นน้อยเกินไป
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานในแต่ละที่ไม่น้อยกว่า 3 ปี เพราะน่าจะเป็นเวลาที่เราได้ครบทั้งการเรียนรู้ (Learn) การทำงาน (Perform) และการพัฒนาปรับปรุงงาน (Improve) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะต้องขึ้นอยู่กับช่วงชีวิตเพราะบางช่วงอาจจะเปลี่ยนบ่อยเพราะตลาดกำลังโต ชีวิตกำลังรุ่ง แต่บางช่วงอาจจะต้องอยู่นาน เพราะต้องหยุดพักหายใจและสั่งสมประสบการณ์ ก่อนที่จะไต่ระดับขึ้นสู่เพดานบินที่สูงขึ้น
เสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศ
“ เสียดายภาษาอังกฤษไม่ดี ” เป็นคำพูดที่มักจะได้ยินจากอดีตมนุษย์เงินเดือนที่ไปสัมภาษณ์งานมาใหม่ๆ ที่มักจะรู้สึกเสียดายบริษัทฝรั่งที่เสนอเงินเดือนให้สูงๆ แต่ติดที่ภาษาอังกฤษไม่กระดิกเลย เพราะไม่ได้จบ (เมือง) นอก และทำงานแต่บริษัทคนไทยจึงไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย บางคนจะหันมาเอาดีในการเรียนภาษาก็ต่อเมื่อบินสูงแล้ว ซึ่งพัฒนาได้ยากแล้วเพราะมีเวลาน้อยและภารกิจทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้น
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะเรียนภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่มทำงานและจะเลือกทำงานกับบริษัทต่างชาติตั้งแต่ต้น หรือไม่ก็อาจจะหาเงินไปเรียนต่อต่างประเทศ
เสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย
มนุษย์เงินเดือนบางคนทำงานมาเป็นสิบปีแล้ว ยังหาตัวเองไม่เจอเลยว่าเป้าหมายชีวิตของตัวเองคืออะไร จะทำงานเป็นลูกจ้างไปเรื่อยๆจนเกษียณหรือจะออกไปทำอาชีพอิสระ ขนาดถามว่างานที่ชอบหรืออยากทำคืองานอะไรยังตอบไม่ได้เลย อย่างนี้จะก้าวหน้าในอาชีพการงานได้อย่างไรละครับ พูดง่ายๆคืออดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนทำงานเหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง วันๆก็ตื่นขึ้นมาไปทำงาน เสร็จงานกลับบ้าน จันทร์ถึงศุกร์ทำงาน เสาร์อาทิตย์อยู่บ้าน รูปแบบชีวิตเหมือนเดิมเป็นเดือนเป็นปีบางคนเป็นสิบปี มารู้ตัวอีกทีก็ช้าไปเสียแล้ว เพื่อนๆรุ่นเดียวกันไปไหนต่อไหนจนมองไม่เห็นหลังกันแล้ว
ถ้าย้อยเวลากลับไปได้ อยากจะวางแผนชีวิตตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงานว่าอีกกี่ปีจะเป็นอะไร จะทำอะไร จะต้องได้อะไร และแต่ละวันแต่ละเดือน แต่ละปีควรจะทำอะไรบ้าง อย่างไร
เสียดายที่ทำงานอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป
คนบางคนไม่ได้เปลี่ยนงานบ่อย แต่ไม่เคยเปลี่ยนงานเลย ตอนที่ทำงานอยู่รู้สึกว่าเราเป็นคนดีขององค์กรที่ไม่ยอมเปลี่ยนงานไปไหนเลย แต่พอชีวิตการทำงานผ่านเลยไปก็รู้สึกเสียใจและเสียดายเหมือนกันที่ชีวิตการทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียว สังคมเดียว คนบางคนอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ช่วงเวลาที่กำลังรุ่งก็ไม่ยอมเปลี่ยนงาน พอจังหวะชีวิตผ่านไปก็คิดจะเปลี่ยนงาน ก็ทำได้ยากแล้ว เพราะเงินเดือนสูง อายุเยอะ แต่ตำแหน่งต่ำ ไปสมัครตำแหน่งที่สูงเกินไปเขาก็ไม่รับ สมัครในตำแหน่งที่เท่าเดิมก็แก่กว่าคนอี่นๆ(แถมเงินเดือนเดิมสูงอีกต่างหาก)
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะเปลี่ยนงานในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อปรับเพดานบินให้เหมาะสมกับอายุตัวและอายุงาน โดยไม่ต้องยึดติดว่าจะต้องอยู่กับองค์กรใดองค์กรหนึ่งนานจนเกินไป
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เงินเดือนควรจะเชื่อและเอาแบบอย่าง แต่ก็ไม่อยากให้มนุษย์เงินเดือนมองข้ามคำว่า "เสียดาย" ของมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆหรืออดีตมนุษย์เงินเดือนไป อย่างน้อยก็น่าจะนำไปเป็นคำถามตัวเองว่าเราอยากจะรู้สึกเสียดายในเรื่องนั้นเรื่องนี้เหมือนรุ่นพี่ๆหรือไม่ ถ้าไม่เราควรจะทำอย่างไรตั้งแต่วันนี้
คนที่กำลังทะเลาะกันมองไม่เห็นหรอกว่าตัวเองถูกหรือผิด คนที่ไม่เคยลำบากไม่รู้หรอกว่าความลำบากนั้นเป็นอย่างไร คนที่ไม่เคยเป็นหนี้ไม่รู้หรอกว่าการรอคอยให้หมดหนี้นั้นทรมาณเพียงใด คนที่ไม่เคยตกงาน ไม่รู้หรอกว่าการได้งานทำนั้นสำคัญแค่ไหน ฯลฯ เรื่องบางเรื่องในชีวิตนี้เราอาจจะมีโอกาสทดลองหรือสัมผัสได้มากกว่าหนึ่งครั้ง เรื่องบางเรื่องมีโอกาสแก้ตัวได้ เช่น เคยลำบากมาก่อนเมื่อผ่านชีวิตลำบากมาได้แล้ว ก็พอจะรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ลำบากอีกครั้ง
แต่.....เรื่องบางเรื่องในชีวิตนี้จะผ่านมาและเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ไม่มีโอกาสแก้ตัว เพราะเรื่องบางเรื่องต้องอาศัยเวลาเกือบทั้งชีวิตจึงจะรู้ว่าสิ่งที่ผ่านมา นั้นถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี และเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งสำหรับคนที่เป็นลูกจ้างหรือมนุษย์เงินเดือน คือประสบการณ์ชีวิตและข้อคิดจากการเป็นลูกจ้าง ข้อคิดหรือบทเรียนส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาล่วงเลยไปแล้ว ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ผิดซ้ำเรื่องเดิมกับคนรุ่นก่อนๆ ผมจึงขอเป็นตัวแทนของรุ่นพี่ๆอดีตมนุษย์เงินเดือนมาบอกเล่าให้ฟังว่าคนที่ เคยทำงานกินเงินเดือนในรุ่นที่ผ่านๆมาเขาหันกลับมามองอดีตแล้วเกิดความ รู้สึก “ เสียดาย ” อะไรบ้าง หรือถ้าจะพูดง่ายๆคือ เรื่องไหนบ้างที่อดีตมนุษย์เงินเดือนคิดว่าถ้าย้อนเวลากลับมาได้จะทำให้ดี กว่าที่ผ่านมา
วันนี้จึงอยากจะสรุปคำว่า “ เสียดาย ” ของอดีตมนุษย์เงินเดือน เพื่อฝากเตือนใจมนุษย์เงินเดือนรุ่นใหม่ให้หลีกเลี่ยงหรือป้องกันดังนี้
เสียดายไม่ตั้งใจทำงานในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน
ไม่ว่าจะเป็นอดีตมนุษย์เงินเดือนหรือมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆในปัจจุบัน มักจะรู้สึกเสียดายกับชีวิตการทำงานที่ผ่านมาเนื่องจากช่วงแรกๆของการทำงานไม่ค่อยตั้งใจและทุ่มเทมากนัก เนื่องจากตอนนั้นคิดว่าทำงานแลกกับเงิน ได้เงินน้อยก็ทำน้อย ที่ไหนให้มากก็ขยันขึ้นมาหน่อย คิดอย่างเดียวว่าถ้าขยันทำมาก เจ้าใจจะติดใจและใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เราก็เหนื่อยอยู่คนเดียว มารู้ตัวอีกครั้งก็ต่อเมื่อทำงานไปตั้งนานไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเสียที เด็กรุ่นใหม่ๆที่เพิ่งเข้ามาแซงหน้าไปเสียแล้ว ที่สำคัญชีวิตช่วงแรกที่ทำงานมักจะเป็นช่วงที่เราจะรู้สึกว่าทำงานเหนื่อยกว่าตอนเรียน ดังนั้น วัยนี้คนทำงานบางคนก็เริ่มเที่ยว ดื่ม กิน ใช้ชีวิตเปลืองมาก เลิกงานเสร็จเที่ยวต่อจนดึกจนดื่น เผลอๆบางวันใส่ชุดเดิมมาทำงาน(เพราะยังไม่ได้กลับบ้านหรือที่พัก) แล้วจะทำงานดีได้อย่างไร กายและใจมาทำงานเพียงครึ่งเดียว เพื่อนบางคนก็มัวแต่ทำงานเพื่อค้นหาตัวเองว่างานที่กำลังทำอยู่นั้นใช่สิ่งที่ต้องการหรือไม่ บางคนก็ทำงานเพื่อรอโอกาสหางานใหม่ สุดท้ายชีวิตการทำงานในช่วงแรกๆแทนที่จะมีเส้นการเรียนรู้ที่สูงชัน กลับกลายเป็นเส้นการเรียนรู้ที่แบนราบ อายุงานผ่านไป แต่อายุใจที่มีต่องานยังอยู่เท่าเดิม
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะตั้งใจและขยันทำงานตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาทำงาน และจะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่รับผิดชอบ และจะลดหรืองดการเที่ยวและดื่มให้น้อยลง เพราะตอนนี้ผลกรรมเริ่มสนองให้เห็นแล้วว่าการใช้ชีวิตแบบประมาทนั้นส่งผลต่อสุขภาพร่างกายระยะยาว
เสียดายที่แต่งงานเร็วไปหน่อย
มนุษย์เงินเดือนหลายคนเสียโอกาสในความก้าวหน้าในอาชีพไปเพราะรีบเป็นฝั่งเป็นฝาเร็วเกินไป คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว หาเงินได้เองแล้ว ปกครองและดูแลตัวเองได้แล้ว ก็ริคิดที่จะไปเอาคนอื่นมาดูแลเพิ่มเติม(ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้ดูแลพ่อแม่ที่ส่งเสียให้เรียนมาจนจบ) เมื่อชีวิตแต่งงานเข้ามาเร็วชีวิตครอบครัวเข้ามาเร็ว ปัญหาประจำตำแหน่งชีวิตคู่ก็เข้ามาเร็ว ทั้งๆที่อายุงานและประสบการณ์ชีวิตในหน้าที่การงานยังน้อยอยู่ ทำให้ปัญหาครอบครัวเริ่มมาเป็นตัวถ่วงในเรื่องความก้าวหน้าในอาชีพ เพราะไหนจะต้องให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น เวลาที่จะทุ่มเทกับงานก็น้อยลง ถ้าใครยังทุ่มเทกับงานมากอยู่อีกก็จะทำให้เกิดปัญหาครอบครัว เงินเก็บที่ยังไม่เต็มที่ก็ต้องควักออกมาใช้ เพราะมีลูกทั้งๆที่ยังไม่พร้อมในหลายๆด้าน คิดง่ายๆว่าในช่วงเวลาเดียวกันเพื่อนเราที่ยังไม่แต่งงานเขามีเวลาทุ่มเทกับการทำงานเพื่อปีนป่ายขึ้นไปสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จ ในขณะที่เราต้องปีนป่ายเหมือนกับเขา แต่เราต้องกระเตงคู่สามีหรือภรรยาและลูกไปด้วย นึกดูเอาเองก็แล้วกันนะครับว่าใครจะปีนไปได้สูงและไกลกว่ากัน
ถ้าย้อนเวลาไปได้ อยากจะทำงานก่อนสักระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสเลื่อนตำแหน่งมาบ้างแล้ว จึงคิดจะแต่งงาน อย่างน้อยก็ต้องมีเงินเก็บมาบ้างแล้ว หรืออาจจะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานที่เพียงพอต่อการหางานใหม่ที่มีตำแหน่งที่สูงกว่าก่อนจึงจะแต่งงาน และการที่เรามีเวลาทำงานผ่านไปสักระยะหนึ่งก็น่าจะมีเวลาในการคบหาหรือดูใจกับที่เราจะเลือกมาเป็นคู่ได้ดีขึ้น
เสียดายที่ไม่ได้ศึกษาต่อ
ความเสียดายข้อนี้ผมเชื่อว่าเกินครึ่งของมนุษย์เงินเดือนที่มีความรู้สึกแบบนี้ เพราะตอนเข้ามาทำงานแรกๆ เกือบทุกคนมักจะคิดว่าจะหาเวลาศึกษาต่อ รอเก็บเงินค่าเทอมไปสักพักก่อนและรอให้ทำงานเข้าที่ก่อน แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างทำให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่พลาดเป้าหมายนี้ไป เช่น งานยุ่งไม่มีเวลาเรียน พอจะเรียนก็เปลี่ยนงาน(เหตุผลเดิมคือรอให้งานเข้าที่แล้วค่อยเรียน) ไม่มีเงินค่าเทอม ขี้เกียจอ่านหนังสือ สอบไม่ได้(เพราะไม่ตั้งใจ) ใจอยากเรียนแต่ไม่เคยแม้แต่จะลงมือทำอะไรเลย เลือกที่เรียนมากเกินไป บางคนลองไปเรียนแล้วแต่ไปไม่รอดเพราะแบ่งเวลาไม่เป็น อดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนคิดย้อนกลับไปว่าถ้าตอนนั้นเรียนต่อในระดับนั้นระดับนี้ ป่านนี้คงจะประสบความสำเร็จไปมากกว่านี้แน่นอน เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งมีโอกาสดีๆเข้ามาในชีวิต คุณสมบัติครบทุกอย่าง ขาดอย่างเดียวคือวุฒิการศึกษาไม่ถึง เลยเสียโอกาสที่สำคัญในชีวิตการทำงานไป มาถึงตอนนี้ก็แก่เกินเรียนแล้ว ยิ่งออกมาทำธุรกิจส่วนตัวถึงแม้เวลาจะมีมากขึ้น แต่กำลังใจมีน้อยลง แรงใจมีน้อยลง และไม่รู้จะเรียนไปทำไม เพราะงานธุรกิจส่วนตัวที่ทำอยู่ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาสูงๆก็ได้
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คิดว่าจะต้องตัดสินใจเรียนตั้งแต่เพิ่มเริ่มทำงานใหม่ๆสักปีสองปี จะยอมอดทนไปสักระยะหนึ่ง และจะเรียนให้จบก่อนที่จะเปลี่ยนงานใหม่หรือมีครอบครัว
มาติดตามกันต่อไปในวันพุธหน้านะครับว่ายังมีเรื่องอะไรอีกบ้างที่อดีตมนุษย์เงินเดือนรู้สึก “ เสียดาย" ” กับชีวิตการเป็นมนุษย์เงินเดือนในอดีตที่ผ่านมา ความเสียดายนั้นจะตรงกับชีวิตจริงของท่านหรือไม่ และควรจะทำงานอย่างไรจึงจะไม่รู้สึก “ เสียดาย ” เหมือนอดีตมนุษย์เงินเดือนหลายๆคน
บทเรียนจากคำว่า “ เสียดาย” ของรุ่นพี่หรืออดีตมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 2)
วันนี้เรามาดูกันต่อนะครับว่า มนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆและอดีตมนุษย์เงินเดือนเขารู้สึกดายอะไรบ้างในชีวิต ของการเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ผ่านมา
เสียดายที่มัวแต่ละเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน
มนุษย์เงินเดือนหลายคนเสียเวลาไปกับปัญหาคนเยอะมาก ทั้งปัญหาหัวหน้า ปัญหาเพื่อนร่วมงาน บางคนก็มีปัญหากับลูกน้องอีก วันๆเสียเวลาของสมองไปกับการคิดถึงปัญหาคนอื่น ตอนที่เป็นลูกจ้างเรามักจะคิดว่าปัญหาทะเลาะกับคนทำงานเป็นปัญหาใหญ่ เลยใช้เวลากับมันมาก เครียดกับมันบ่อย แทบจะไม่มีเวลาไปพัฒนาหรือปรับปรุงงานหรือพัฒนาตนเองเลย ตอนนั้นลืมไปว่าจริงๆแล้วไม่มีใครทำงานอยู่กับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานอยู่กับคนที่เราไม่ชอบไปตลอดชีวิตเช่นกัน แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดแบบนี้ คิดอย่างเดียวว่าวันนี้เรากับเขาจะมีปัญหากันเรื่องอะไรอีก คิดว่าเรื่องเมื่อวานมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนผิด ทำไมเขาจึงเป็นคนแบบนั้น สุดท้ายเราก็จะจมอยู่กับปัญหาคนที่บางครั้งเคยหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแล้ว ปัญหาคนเก่าหายไป แต่..ปัญหาคนใหม่ก็เกิดขึ้น
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะคิดเสียว่าปัญหาคนเหมือนกับปัญหารถชนกันบนถนนที่เราไม่ต้องไปสนใจกับให้มากนัก แต่เราควรจะสนใจว่าเส้นทางที่เรากำลังจะเดินไปนั้นอยู่อีกไกลหรือไม่ เรามีเวลาเหลืออีกนานหรือไม่ ต้องคิดว่าไม่มีใครทำงานกับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานกับใครไปตลอดชีวิตเช่นกัน และคิดว่าถ้าเรารับปัญหาคนอื่นไม่ได้ เราคงจะก้าวขึ้นไปในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นไปไม่ได้ เพราะยิ่งสูงปัญหาคนยิ่งมากและซับซ้อนมากขึ้น
เสียดายที่เปลี่ยนงานมากไปหน่อย
ถ้าดูประวัติมนุษย์เงินเดือนบางคน จะเห็นว่าเปลี่ยนงานทุกปีๆละครั้งสองครั้ง ตอนที่เปลี่ยนงานก็มีเหตุผลมาสนับสนุนมากมาย เช่น เงินเดือนสูงกว่า อยู่ใกล้บ้าน เบื่อที่ทำงานเก่า งานใหม่ท้าทายกว่า อยากทำงานกับบริษัทข้ามชาติ ฯลฯ แต่เมื่อมาถามตอนนี้ว่าผลการเปลี่ยนงานบ่อยในอดีตสรุปว่าดีหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่หลายคนตอบถ้าพิจารณาถึงผลระยะยาวแล้วอาจจะไม่เป็นผลดีมากนัก เพราะประสบการณ์ในแต่ละที่นั้นน้อยเกินไป
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานในแต่ละที่ไม่น้อยกว่า 3 ปี เพราะน่าจะเป็นเวลาที่เราได้ครบทั้งการเรียนรู้ (Learn) การทำงาน (Perform) และการพัฒนาปรับปรุงงาน (Improve) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะต้องขึ้นอยู่กับช่วงชีวิตเพราะบางช่วงอาจจะเปลี่ยนบ่อยเพราะตลาดกำลังโต ชีวิตกำลังรุ่ง แต่บางช่วงอาจจะต้องอยู่นาน เพราะต้องหยุดพักหายใจและสั่งสมประสบการณ์ ก่อนที่จะไต่ระดับขึ้นสู่เพดานบินที่สูงขึ้น
เสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศ
“ เสียดายภาษาอังกฤษไม่ดี ” เป็นคำพูดที่มักจะได้ยินจากอดีตมนุษย์เงินเดือนที่ไปสัมภาษณ์งานมาใหม่ๆ ที่มักจะรู้สึกเสียดายบริษัทฝรั่งที่เสนอเงินเดือนให้สูงๆ แต่ติดที่ภาษาอังกฤษไม่กระดิกเลย เพราะไม่ได้จบ (เมือง) นอก และทำงานแต่บริษัทคนไทยจึงไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย บางคนจะหันมาเอาดีในการเรียนภาษาก็ต่อเมื่อบินสูงแล้ว ซึ่งพัฒนาได้ยากแล้วเพราะมีเวลาน้อยและภารกิจทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้น
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะเรียนภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่มทำงานและจะเลือกทำงานกับบริษัทต่างชาติตั้งแต่ต้น หรือไม่ก็อาจจะหาเงินไปเรียนต่อต่างประเทศ
เสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย
มนุษย์เงินเดือนบางคนทำงานมาเป็นสิบปีแล้ว ยังหาตัวเองไม่เจอเลยว่าเป้าหมายชีวิตของตัวเองคืออะไร จะทำงานเป็นลูกจ้างไปเรื่อยๆจนเกษียณหรือจะออกไปทำอาชีพอิสระ ขนาดถามว่างานที่ชอบหรืออยากทำคืองานอะไรยังตอบไม่ได้เลย อย่างนี้จะก้าวหน้าในอาชีพการงานได้อย่างไรละครับ พูดง่ายๆคืออดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนทำงานเหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง วันๆก็ตื่นขึ้นมาไปทำงาน เสร็จงานกลับบ้าน จันทร์ถึงศุกร์ทำงาน เสาร์อาทิตย์อยู่บ้าน รูปแบบชีวิตเหมือนเดิมเป็นเดือนเป็นปีบางคนเป็นสิบปี มารู้ตัวอีกทีก็ช้าไปเสียแล้ว เพื่อนๆรุ่นเดียวกันไปไหนต่อไหนจนมองไม่เห็นหลังกันแล้ว
ถ้าย้อยเวลากลับไปได้ อยากจะวางแผนชีวิตตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงานว่าอีกกี่ปีจะเป็นอะไร จะทำอะไร จะต้องได้อะไร และแต่ละวันแต่ละเดือน แต่ละปีควรจะทำอะไรบ้าง อย่างไร
เสียดายที่ทำงานอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป
คนบางคนไม่ได้เปลี่ยนงานบ่อย แต่ไม่เคยเปลี่ยนงานเลย ตอนที่ทำงานอยู่รู้สึกว่าเราเป็นคนดีขององค์กรที่ไม่ยอมเปลี่ยนงานไปไหนเลย แต่พอชีวิตการทำงานผ่านเลยไปก็รู้สึกเสียใจและเสียดายเหมือนกันที่ชีวิตการทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียว สังคมเดียว คนบางคนอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ช่วงเวลาที่กำลังรุ่งก็ไม่ยอมเปลี่ยนงาน พอจังหวะชีวิตผ่านไปก็คิดจะเปลี่ยนงาน ก็ทำได้ยากแล้ว เพราะเงินเดือนสูง อายุเยอะ แต่ตำแหน่งต่ำ ไปสมัครตำแหน่งที่สูงเกินไปเขาก็ไม่รับ สมัครในตำแหน่งที่เท่าเดิมก็แก่กว่าคนอี่นๆ(แถมเงินเดือนเดิมสูงอีกต่างหาก)
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะเปลี่ยนงานในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อปรับเพดานบินให้เหมาะสมกับอายุตัวและอายุงาน โดยไม่ต้องยึดติดว่าจะต้องอยู่กับองค์กรใดองค์กรหนึ่งนานจนเกินไป
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เงินเดือนควรจะเชื่อและเอาแบบอย่าง แต่ก็ไม่อยากให้มนุษย์เงินเดือนมองข้ามคำว่า "เสียดาย" ของมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆหรืออดีตมนุษย์เงินเดือนไป อย่างน้อยก็น่าจะนำไปเป็นคำถามตัวเองว่าเราอยากจะรู้สึกเสียดายในเรื่องนั้นเรื่องนี้เหมือนรุ่นพี่ๆหรือไม่ ถ้าไม่เราควรจะทำอย่างไรตั้งแต่วันนี้
ถ้ารัก คือ...ฟัน
>ถ้ารัก คือ...ฟัน
>
>รักคงมั่น คือ...ฟันแท้
>
>รักร่อแร่ คือ...ฟันโยก
>
>รักโสโครก คือ...ฟันดำ
>
>รักถลำ คือ...ฟันเหยิน
>
>รักหมางเมิน คือ...ฟันห่าง
>
>รักร้าง คือ...ฟันหลอ
>
>รักหงิกงอ คือ...ฟันกุด
>
>รักบริสุทธิ์ คือ...ฟันขาว
>
>รักชั่วคราว คือ...ฟันปลอม
>
>รักอ่อนซ้อม คือ...ฟันร่วง
>
>รักสีม่วง คือ...ฟันเก*
>
>รักจำเจ คือ...ฟันซ้อน
>
>รักสลอนคือ...ฟันแทรก
>
>รักแรก คือ...ฟันน้ำนม
>
>รักระบม คือ...ฟันผุ
>
>รักคิกขุ คือ...ฟันกระต่าย
>
>รักสลาย คือ...ฟันหลุด
>
>รักชำรุด คือ...ฟันสึก
>
>รักเจ็บลึก คือ...ฟันคุด
>
>รักตุ๊ด คือ...ฟันหนุ่ม
>
>รักทั้งกลุ่ม คือ...ฟันหมด
>
>รักสลด คือ...ฟันพลาด
>
>รักต่างชาติ คือ...ฟันฝรั่ง
>
>รักปิดบัง คือ...ฟันชู้
>
>รักอุดอู้ คือ...ฟันช้า
>
>รักกะฮา คือ...ฟันเล่น
>
>รักไม่เป็น คือ...ฟันดะ
>
>รักเธออยู่เสมอ
>จริงๆนะ...ฟันธง
>
>รักคงมั่น คือ...ฟันแท้
>
>รักร่อแร่ คือ...ฟันโยก
>
>รักโสโครก คือ...ฟันดำ
>
>รักถลำ คือ...ฟันเหยิน
>
>รักหมางเมิน คือ...ฟันห่าง
>
>รักร้าง คือ...ฟันหลอ
>
>รักหงิกงอ คือ...ฟันกุด
>
>รักบริสุทธิ์ คือ...ฟันขาว
>
>รักชั่วคราว คือ...ฟันปลอม
>
>รักอ่อนซ้อม คือ...ฟันร่วง
>
>รักสีม่วง คือ...ฟันเก*
>
>รักจำเจ คือ...ฟันซ้อน
>
>รักสลอนคือ...ฟันแทรก
>
>รักแรก คือ...ฟันน้ำนม
>
>รักระบม คือ...ฟันผุ
>
>รักคิกขุ คือ...ฟันกระต่าย
>
>รักสลาย คือ...ฟันหลุด
>
>รักชำรุด คือ...ฟันสึก
>
>รักเจ็บลึก คือ...ฟันคุด
>
>รักตุ๊ด คือ...ฟันหนุ่ม
>
>รักทั้งกลุ่ม คือ...ฟันหมด
>
>รักสลด คือ...ฟันพลาด
>
>รักต่างชาติ คือ...ฟันฝรั่ง
>
>รักปิดบัง คือ...ฟันชู้
>
>รักอุดอู้ คือ...ฟันช้า
>
>รักกะฮา คือ...ฟันเล่น
>
>รักไม่เป็น คือ...ฟันดะ
>
>รักเธออยู่เสมอ
>จริงๆนะ...ฟันธง
ขำ ขำ ฮวงจุ้ยที่นอน
> ฮวงจุ้ยที่นอน....พิจารณาฮวงจุ้ยของตำแหน่งเตียงนอน
>
>1.เตียงนอนใต้ไฟ (ศีรษะมีไฟส่อง)
>ทำให้ปวดศีรษะง่ายเครียดง่ายหรือมีเรื่องร้อนใจเสมอ
>
>2.เตียงนอนอยู่ใต้คาน
>ทำให้ต้องรับภาระหนัก มีเรื่องให้แก้ปัญหาเสมอ
>
>3.เตียงนอนมีเสาบังอยู่ทั้ง 2 ข้าง
>เหมือนถูกบีบจากเสามีแต่เรื่องเครียดอยู่ตลอดเวลา
>
>4.เตียงนอนตรงประตูทางเข้าออก
>ป่วยออดๆ แอดๆ เสมอ
>
>5.เตียงนอนตรงประตูห้องน้ำ
>ป่วยด้วยโรคช่องท้อง เช่น มดลูก ท่อปัสสาวะ ต่อมลูกหมาก อัมพาต
>
>6.เตียงนอนวางลอยๆ กลางห้อง
>เหมือนเมรุเผาศพ คนเดินผ่านได้รอบข้างเป็นการจัดวาง
>ที่รับอันตรายได้รอบทิศทางถือว่าไม่เป็นมงคล
>
>7.กระจกแผ่นใหญ่ส่องเตียงนอน
>ป่วยง่าย ทำให้ตกใจง่าย เหมือนถูกผีหลอกทั้งๆ ที่เป็นตัวเอง
>การป่วยจะเป็นการป่วยเรื้อรัง
>
>8.วางเตียงนอนไว้ใต้บันได
>ถือว่ารับแต่ของสกปรก หรืออัปมงคลไว้ตลอดเวลาเป็นลักษณะกดทับแก้ปัญหายาก
>
>9.เตียงนอนใต้แอร์ส่วนหัวเตียง
>ศีรษะจะถูกกดทับ
>
>10.มีแฟน นอนบนเตียง
>มักจะนอนไม่ค่อยหลับสนิทแถมโคลงเคลงไปมาด้วย
>
>1.เตียงนอนใต้ไฟ (ศีรษะมีไฟส่อง)
>ทำให้ปวดศีรษะง่ายเครียดง่ายหรือมีเรื่องร้อนใจเสมอ
>
>2.เตียงนอนอยู่ใต้คาน
>ทำให้ต้องรับภาระหนัก มีเรื่องให้แก้ปัญหาเสมอ
>
>3.เตียงนอนมีเสาบังอยู่ทั้ง 2 ข้าง
>เหมือนถูกบีบจากเสามีแต่เรื่องเครียดอยู่ตลอดเวลา
>
>4.เตียงนอนตรงประตูทางเข้าออก
>ป่วยออดๆ แอดๆ เสมอ
>
>5.เตียงนอนตรงประตูห้องน้ำ
>ป่วยด้วยโรคช่องท้อง เช่น มดลูก ท่อปัสสาวะ ต่อมลูกหมาก อัมพาต
>
>6.เตียงนอนวางลอยๆ กลางห้อง
>เหมือนเมรุเผาศพ คนเดินผ่านได้รอบข้างเป็นการจัดวาง
>ที่รับอันตรายได้รอบทิศทางถือว่าไม่เป็นมงคล
>
>7.กระจกแผ่นใหญ่ส่องเตียงนอน
>ป่วยง่าย ทำให้ตกใจง่าย เหมือนถูกผีหลอกทั้งๆ ที่เป็นตัวเอง
>การป่วยจะเป็นการป่วยเรื้อรัง
>
>8.วางเตียงนอนไว้ใต้บันได
>ถือว่ารับแต่ของสกปรก หรืออัปมงคลไว้ตลอดเวลาเป็นลักษณะกดทับแก้ปัญหายาก
>
>9.เตียงนอนใต้แอร์ส่วนหัวเตียง
>ศีรษะจะถูกกดทับ
>
>10.มีแฟน นอนบนเตียง
>มักจะนอนไม่ค่อยหลับสนิทแถมโคลงเคลงไปมาด้วย
วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
วันวาเลนไทน์ Valentine's Day
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B9%8C
วันนักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine's Day) หรือที่เป็นที่รู้จักว่า วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันประเพณีที่คู่รักบอกให้กันและกันทราบเกี่ยวกับความรักของ พวกเขา โดยการส่งการ์ดวาเลนไทน์ ซึ่งโดยมากจะไม่ระบุชื่อ วันนี้เริ่มเกี่ยวข้องกับความรักแบบชู้สาวในช่วงยุค High Middle Ages เมื่อประเพณีความรักแบบช่างเอาใจ (courtly love) แผ่ขยาย
ในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่ง กรุงโรม พระองค์ ทรงเป็นกษัตริย์ที่มี ใจคอดุร้ายและทรงนิยม การ ทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและ แต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนา ดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระ หว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็น ความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine”
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูก เก็บไว้ที่โบสถ์ พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุม ศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็น ที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทน แห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มา จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้อง หลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะ เป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคง แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความ กล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมายของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลอง เทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือก หญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
วันนักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine's Day) หรือที่เป็นที่รู้จักว่า วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันประเพณีที่คู่รักบอกให้กันและกันทราบเกี่ยวกับความรักของ พวกเขา โดยการส่งการ์ดวาเลนไทน์ ซึ่งโดยมากจะไม่ระบุชื่อ วันนี้เริ่มเกี่ยวข้องกับความรักแบบชู้สาวในช่วงยุค High Middle Ages เมื่อประเพณีความรักแบบช่างเอาใจ (courtly love) แผ่ขยาย
เนื้อหา[ซ่อน] |
[แก้] ประวัติ
วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ซึ่ง เป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรัก กันและแต่งงานกันในที่สุดในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่ง กรุงโรม พระองค์ ทรงเป็นกษัตริย์ที่มี ใจคอดุร้ายและทรงนิยม การ ทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและ แต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนา ดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระ หว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็น ความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine”
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูก เก็บไว้ที่โบสถ์ พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุม ศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็น ที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทน แห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มา จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้อง หลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะ เป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคง แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความ กล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมายของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลอง เทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือก หญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
[แก้] นักบุญวาเลนไทน์
เมื่อเห็นนักบุญวาเลนไทน์ดังนั้น ท่านผู้ว่าราชการเกิดความอิจฉา และต้องการกำจัดท่านวาเลนไทน์ จึงจับท่านวาเลนไทน์ไปขังไว้ในคุกมืด แล้วใช้ไม้เป็นปุ่มเป็นตาเฆี่ยนท่านอย่างสาหัส ที่สุดก็นำท่านไปตัดศีรษะ นักบุญวาเลนไทน์เป็นองค์อุปถัมภ์ของชาวเมืองตารัสก็อง(ภาคใต้ของฝรั่งเศส)[แก้] การส่งดอกไม้วันวาเลนไทน์
มนุษย์ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราอาจจะคิดว่าดอกไม้เป็นสิ่งที่สามารถใช้สื่อความหมายเฉพาะความรักของหนุ่ม สาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วดอกไม้แต่ละชนิดสามารถสื่อความรักได้หลายรูปแบบ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย- กุหลาบแดง (Red Rose) : จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า "ฉันรักเธอ"
- กุหลาบขาว (White Rose) : กุหลาบขาวแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์
- กุหลาบชมพู (Pink Rose) : มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก และความเสน่หาต่อกัน
- กุหลาบเหลือง (Yellow Rose) : สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส แทนความรักแบบเพื่อน
วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
น้ำอุ่น
> >> คงต้องยอมรับว่า “น้ำ” นั้นเป็นธรรมชาติที่สุดแสนมหัศจรรย์
> >> น้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของร่างกายมนุษย์ และถูกใช้ในกิจการต่างๆ
> >> อีกจิปาถะมากมายหลายเรื่อง
> >>
> >> แต่หลายคนคงไม่รู้ว่า น้ำยังสามารถช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้อีกด้วย
> >> โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “น้ำอุ่น”
> >>
> >> บัญชา เขมธร คือหนึ่งที่ในผู้ที่เคยป่วย มีร่างกายอ่อนแอ
> >> แต่เมื่อหันกลับมาใช้น้ำอุ่นในการบำบัดรักษาก็สามารถฟื้นฟูสุขภาพให้กลับค
> >> ืนมาได
> >> ้ กระทั่งตัดสินใจเขียนหนังสือชื่อ “มหัศจรรย์น้ำอุ่น”
> >> เพื่อเผยแพร่ความรู้เป็นวิทยาทานให้กับคนอื่นๆ ด้วย
> >>
> >> อาจารย์บัญชาเล่าให้ฟังว่า
> >> ร่างกายมีปัญหาจากโรคภูมิแพ้เป็นอย่างมาก
> >> ยิ่งตอนที่ทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ในห้องแล็บด้วยแล้ว อาการยิ่งหนัก
> >> เวลานอนจะทรมานมาก จนบางครั้งต้องเปลี่ยนไปนั่งแทน
> >> ถ้าอากาศเปลี่ยนเมื่อไหร่เป็นต้องกำเริบ
> >>
> >> อย่างไรก็ตาม กระทั่งได้มาใกล้ชิดกับอาจารย์ประกายเพชร ทองพิทักษ์
> >> ซึ่งเป็นพี่สะใภ้ก็เลยได้ความรู้และให้คำแนะนำว่า โรคนี้รักษาไม่ยาก
> >> ขอแค่เพียงดื่มน้ำอุ่นเข้าไปมากๆ เท่านั้น
> >>
> >> “การดื่มน้ำอุ่นเป็นเรื่องที่หลายคนรู้สึกไม่รื่นรมย์ที่จะดื่ม
> >> เพราะรู้สึกโหวงๆ เหมือนไม่ได้น้ำ คนเราเวลาเหนื่อยๆ ทำงานหนักๆ
> >> มาพอได้น้ำเย็นแล้วจะรู้สึกสดชื่นมากกว่า คนก็เลยไม่อยากที่จะดื่ม”
> >>
> >> อาจารย์บัญชาแนะนำเพิ่มเติมว่า
> >> การดื่มน้ำอุ่นที่ถูกต้องจะต้องดื่มตามสูตร คือ ตี 5 ตื่นมา
> >> ดื่มน้ำอุ่นประมาณ
> >> ลิตรครึ่งประมาณนั้น คนร่างเล็กหน่อยอาจจะลิตรหนึ่ง 200 ซีซี
> >> หรือจะดื่มมากกว่านั้นก็ได้ขอให้เป็นรวดเดียวหมดภายใน 2-3 อึดใจ
> >> โดยไม่ต้องชักปากออกจากกระบอกน้ำเลย
> >>
> >> อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีปัญหา ไม่สามารถดื่มตามสูตรได้
> >> ในระยะเริ่มแรกก็จะต้องใช้ความพยายามสักหน่อย เริ่มต้นจากทีละนิดก่อน
> >> เช่น
> >> ดื่มน้ำอุ่น 1 ลิตรครึ่งภายใน 1 ชั่วโมง
> >>
> >> ทั้งนี้ น้ำอุ่นมันเป็นน้ำที่ไม่ให้โทษแก่ร่างกาย
> >> จะดื่มเท่าไหร่ก็ได้ไม่มีปัญหา
> >> เพราะต้องไม่ลืมว่าอุณหภูมิของร่างกายเรานั้นอยู่ที่ประมาณ 37
> >> องศาเซลเซียสโดยประมาณ
> >> เมื่อเราดื่มน้ำอุ่นเข้าไปความร้อนของร่างกายก็จะไม่กระทบกระเทือน
> >> ร่างกายไม่ต้องผลิตความร้อนขึ้นมาเพื่อให้กับน้ำที่เราดื่มเข้าไป
> >> แต่ถ้าเป็นน้ำเย็นดื่มเข้าไปมากเท่าไหร่
> >> ร่างกายจะต้องใช้ความร้อนมากขึ้นตามจำนวนน้ำเย็นที่เราดื่มเข้าไปเพื่อปรั
> >> บอุณหภ
> >> ูมิน้ำนั้นให้เข้ากับร่างกายถึงจะนำน้ำนั้นไปใช้ได้
> >>
> >>
> >> “น้ำที่เราดื่มเข้าไปตอนเช้าตามสูตรจะมีผลต่อระบบทางเดินอาหารโดยตรง
> >> โดยจะเข้าไปชำระล้างสิ่งสกปรกต่างๆ ที่มีอยู่ในร่างกายออกมา
> >> แต่ที่ต้องไม่ลืมก็คือ การรับประทานอาหารเช้า
> >> เพราะว่าเราเพิ่งล้างทางเดินอาหารอยู่หยกๆ กำลังใหม่ๆ
> >> เมื่อเรากินอาหารเข้าไปน้ำย่อยบริบูรณ์ ทางเดินสะอาด การดูดซึมก็ง่ายขึ้น
> >> ซึ่งการย่อยที่ดีขึ้นนัน้
> >> ทำให้เราได้รับประโยชน์จากการรับประทานอาหารที่กินเข้าไปอย่างเต็มเม็ดเต็ม
> > หน่วย
> >> อาหารกลางวันรองลงมา ส่วนอาหารเย็นอาจจะไม่จำเป็น
> >>
> >> “การที่เราดื่มน้ำตามสูตร จะทำให้เราเป็นผู้มีน้ำเต็ม
> >> ร่างกายจะมีความเอิบอิ่ม ไม่ขี้โมโหง่าย ราศีเปล่งออกมาอย่างเต็มที่
> >> การเคลื่อนไหวจะไม่มีการติดขัด เส้นเอ็น
> >> เนื้อหนังมังสายืดหยุ่นได้ตามสภาพ
> >> พร้อมใช้งานได้ทุกชนิด และต้องบอกว่า
> >> การดื่มน้ำอุ่นที่จริงแล้วคือการล้างพิษนั่นเอง โรคเกาท์เอย ความดันสูงเอย
> >> คอเลสเตอรอลสูงเอย เหล่านี้เป็นผลมาจากการขาดน้ำทั้งนั้น”
> >>
> >> นอกจากนั้น อาจารย์บัญชายังให้คำแนะนำว่า น้ำเป็นสิ่งสำคัญ
> >> เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ทำให้น้ำเป็นโทษต่อร่างกาย เช่น ต้องไม่นั่งเฉยๆ
> >> เพราะจะทำให้น้ำท่วมไตได้ หรือ อย่ากลั้นอุจจาระ ปัสสาวะ
> >> เพราะจะเป็นการขัดขวางกระบวนการทำงานของร่างกาย
> >> ซึ่งจะทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมาได้
> >>
> >> ...และที่อยากฝากทิ้งเอาไว้ก็คือ คนที่อยากอายุยืนยาว
> >> ต้องเริ่มต้นด้วยน้ำ จากนั้นปรับธาตุอาหารให้ดี ฝึกจิตใจให้ดี
> >> เพียงแค่นี้ชีวิตก็จะอยู่ได้นานโดยที่ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองไปสรรหายาต
> >> ่างๆ
> >> มารับประทานแต่อย่างใด
> >>
> >> น้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของร่างกายมนุษย์ และถูกใช้ในกิจการต่างๆ
> >> อีกจิปาถะมากมายหลายเรื่อง
> >>
> >> แต่หลายคนคงไม่รู้ว่า น้ำยังสามารถช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้อีกด้วย
> >> โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “น้ำอุ่น”
> >>
> >> บัญชา เขมธร คือหนึ่งที่ในผู้ที่เคยป่วย มีร่างกายอ่อนแอ
> >> แต่เมื่อหันกลับมาใช้น้ำอุ่นในการบำบัดรักษาก็สามารถฟื้นฟูสุขภาพให้กลับค
> >> ืนมาได
> >> ้ กระทั่งตัดสินใจเขียนหนังสือชื่อ “มหัศจรรย์น้ำอุ่น”
> >> เพื่อเผยแพร่ความรู้เป็นวิทยาทานให้กับคนอื่นๆ ด้วย
> >>
> >> อาจารย์บัญชาเล่าให้ฟังว่า
> >> ร่างกายมีปัญหาจากโรคภูมิแพ้เป็นอย่างมาก
> >> ยิ่งตอนที่ทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ในห้องแล็บด้วยแล้ว อาการยิ่งหนัก
> >> เวลานอนจะทรมานมาก จนบางครั้งต้องเปลี่ยนไปนั่งแทน
> >> ถ้าอากาศเปลี่ยนเมื่อไหร่เป็นต้องกำเริบ
> >>
> >> อย่างไรก็ตาม กระทั่งได้มาใกล้ชิดกับอาจารย์ประกายเพชร ทองพิทักษ์
> >> ซึ่งเป็นพี่สะใภ้ก็เลยได้ความรู้และให้คำแนะนำว่า โรคนี้รักษาไม่ยาก
> >> ขอแค่เพียงดื่มน้ำอุ่นเข้าไปมากๆ เท่านั้น
> >>
> >> “การดื่มน้ำอุ่นเป็นเรื่องที่หลายคนรู้สึกไม่รื่นรมย์ที่จะดื่ม
> >> เพราะรู้สึกโหวงๆ เหมือนไม่ได้น้ำ คนเราเวลาเหนื่อยๆ ทำงานหนักๆ
> >> มาพอได้น้ำเย็นแล้วจะรู้สึกสดชื่นมากกว่า คนก็เลยไม่อยากที่จะดื่ม”
> >>
> >> อาจารย์บัญชาแนะนำเพิ่มเติมว่า
> >> การดื่มน้ำอุ่นที่ถูกต้องจะต้องดื่มตามสูตร คือ ตี 5 ตื่นมา
> >> ดื่มน้ำอุ่นประมาณ
> >> ลิตรครึ่งประมาณนั้น คนร่างเล็กหน่อยอาจจะลิตรหนึ่ง 200 ซีซี
> >> หรือจะดื่มมากกว่านั้นก็ได้ขอให้เป็นรวดเดียวหมดภายใน 2-3 อึดใจ
> >> โดยไม่ต้องชักปากออกจากกระบอกน้ำเลย
> >>
> >> อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีปัญหา ไม่สามารถดื่มตามสูตรได้
> >> ในระยะเริ่มแรกก็จะต้องใช้ความพยายามสักหน่อย เริ่มต้นจากทีละนิดก่อน
> >> เช่น
> >> ดื่มน้ำอุ่น 1 ลิตรครึ่งภายใน 1 ชั่วโมง
> >>
> >> ทั้งนี้ น้ำอุ่นมันเป็นน้ำที่ไม่ให้โทษแก่ร่างกาย
> >> จะดื่มเท่าไหร่ก็ได้ไม่มีปัญหา
> >> เพราะต้องไม่ลืมว่าอุณหภูมิของร่างกายเรานั้นอยู่ที่ประมาณ 37
> >> องศาเซลเซียสโดยประมาณ
> >> เมื่อเราดื่มน้ำอุ่นเข้าไปความร้อนของร่างกายก็จะไม่กระทบกระเทือน
> >> ร่างกายไม่ต้องผลิตความร้อนขึ้นมาเพื่อให้กับน้ำที่เราดื่มเข้าไป
> >> แต่ถ้าเป็นน้ำเย็นดื่มเข้าไปมากเท่าไหร่
> >> ร่างกายจะต้องใช้ความร้อนมากขึ้นตามจำนวนน้ำเย็นที่เราดื่มเข้าไปเพื่อปรั
> >> บอุณหภ
> >> ูมิน้ำนั้นให้เข้ากับร่างกายถึงจะนำน้ำนั้นไปใช้ได้
> >>
> >>
> >> “น้ำที่เราดื่มเข้าไปตอนเช้าตามสูตรจะมีผลต่อระบบทางเดินอาหารโดยตรง
> >> โดยจะเข้าไปชำระล้างสิ่งสกปรกต่างๆ ที่มีอยู่ในร่างกายออกมา
> >> แต่ที่ต้องไม่ลืมก็คือ การรับประทานอาหารเช้า
> >> เพราะว่าเราเพิ่งล้างทางเดินอาหารอยู่หยกๆ กำลังใหม่ๆ
> >> เมื่อเรากินอาหารเข้าไปน้ำย่อยบริบูรณ์ ทางเดินสะอาด การดูดซึมก็ง่ายขึ้น
> >> ซึ่งการย่อยที่ดีขึ้นนัน้
> >> ทำให้เราได้รับประโยชน์จากการรับประทานอาหารที่กินเข้าไปอย่างเต็มเม็ดเต็ม
> > หน่วย
> >> อาหารกลางวันรองลงมา ส่วนอาหารเย็นอาจจะไม่จำเป็น
> >>
> >> “การที่เราดื่มน้ำตามสูตร จะทำให้เราเป็นผู้มีน้ำเต็ม
> >> ร่างกายจะมีความเอิบอิ่ม ไม่ขี้โมโหง่าย ราศีเปล่งออกมาอย่างเต็มที่
> >> การเคลื่อนไหวจะไม่มีการติดขัด เส้นเอ็น
> >> เนื้อหนังมังสายืดหยุ่นได้ตามสภาพ
> >> พร้อมใช้งานได้ทุกชนิด และต้องบอกว่า
> >> การดื่มน้ำอุ่นที่จริงแล้วคือการล้างพิษนั่นเอง โรคเกาท์เอย ความดันสูงเอย
> >> คอเลสเตอรอลสูงเอย เหล่านี้เป็นผลมาจากการขาดน้ำทั้งนั้น”
> >>
> >> นอกจากนั้น อาจารย์บัญชายังให้คำแนะนำว่า น้ำเป็นสิ่งสำคัญ
> >> เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ทำให้น้ำเป็นโทษต่อร่างกาย เช่น ต้องไม่นั่งเฉยๆ
> >> เพราะจะทำให้น้ำท่วมไตได้ หรือ อย่ากลั้นอุจจาระ ปัสสาวะ
> >> เพราะจะเป็นการขัดขวางกระบวนการทำงานของร่างกาย
> >> ซึ่งจะทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมาได้
> >>
> >> ...และที่อยากฝากทิ้งเอาไว้ก็คือ คนที่อยากอายุยืนยาว
> >> ต้องเริ่มต้นด้วยน้ำ จากนั้นปรับธาตุอาหารให้ดี ฝึกจิตใจให้ดี
> >> เพียงแค่นี้ชีวิตก็จะอยู่ได้นานโดยที่ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองไปสรรหายาต
> >> ่างๆ
> >> มารับประทานแต่อย่างใด
> >>
คำคมประจำวันนี้
เ ร า ใ ส่ น า ฬิ ก า มื อ ซ้ า ย
ที่ ใ ส่ มื อ ซ้ า ย เ พ ร า ะ ถ นั ด ข ว า
ย ก มื อ ซ้ า ย ขึ้ น ม า ดู เ ว ล า ไ ด้ ง่า ย
แ ต่ ถึ ง มี น า ฬิ ก า เ ร า ก็ ช อ บ ไ ป ส า ย อ ยู่ ดี
น า ฬิ ก า ก็ แ ค่ บ อ ก เ ว ล า . . ไ ม่ ไ ด้ ทำ ใ ห้ เ ร า ไ ป เ ร็ ว ขึ้ น
ที่ ใ ส่ มื อ ซ้ า ย เ พ ร า ะ ถ นั ด ข ว า
ย ก มื อ ซ้ า ย ขึ้ น ม า ดู เ ว ล า ไ ด้ ง่า ย
แ ต่ ถึ ง มี น า ฬิ ก า เ ร า ก็ ช อ บ ไ ป ส า ย อ ยู่ ดี
น า ฬิ ก า ก็ แ ค่ บ อ ก เ ว ล า . . ไ ม่ ไ ด้ ทำ ใ ห้ เ ร า ไ ป เ ร็ ว ขึ้ น
คิ ด ดู แ ล้ ว . . หั ว ใ จ ก็ อ ยู่ ท า ง ซ้ า ย เ ห มื อ น กั น
บ า ง ที เ ร า ก็ คิ ด น ะ . . ว่ า อ วั ย ว ะ ใ น ร่ า ง ก า ย ที่ มี 2 ชิ้ น
จ ะ อ ยู่ ซ้ า ย - ข ว า อ ย่ า ง
แ ข น , ข า , ลู ก ก ะ ต า ทำ น อ ง นั้ น . .
แ ล้ ว ที่ มี ชิ้ น เ ดี ย ว . . ก็ แ ส ด ง ค ว า ม โ ด ด ข อ ง มั น
อ ย่ า ง จ มู ก , ส ะ ดื อ ก็ อ ยู่ ต ร ง ก ล า ง . . ป ร ะ ม า ณ นั้ น
แ ล้ ว ทำ ไ ม . . หั ว ใ จ ถึ ง เ อี ย ง ซ้ า ย ล่ ะ ? ?
บ า ง ที เ ร า ก็ คิ ด ว่ า . . ที่ เ ป็ น งั้ น ก็ เ พ ร า ะ
ใ ค ร บ า ง ค น อ ย า ก เ ตื อ น ใ ห้ เ ร า รู้ ว่ า .
.
หั ว ใ จ เ ร า ไ ม่ ห นั ก แ น่ น พ อ จ ะ อ ยู่ ต ร ง ก ล า ง
แ ล้ ว ก็ ไ ม่ มี ม า ก พ อ จ ะ แ บ่ ง เ ป็ น ส อ ง ด้ ว ย เ ห มื อ น กั น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)