Ad

Right Up Corner

Ad left side

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เรื่องของพี่น้อง

>ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คนแต่ละวัน  พ่อแม่ของฉันต้องพรวนดิน
>ในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ  ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3
>ปี
>
>วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน จาก
>นั้นพ่อก็รู้เรื่อง พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง โดยที่ในมือ
>พ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
>"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด ฉันกลัวมากไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่น
>กัน
>พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า "ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่
>นั่นล่ะ"พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
>
>ทันใดนั้นน้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้แล้วพูดว่า "ผมขโมยเอง
>ครับ"
>ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
>พ่อโกรธมากพ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
>พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน
>"ของคนในบ้านแกเองแกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย
>ไอ้หัวขโมย"คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
>หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมดแต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
>
>กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก น้องเอามือเล็กๆของเขามา
>ปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า "พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"
>ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
>หลายปีผ่านไปแต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
>ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
>ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี...
>เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน ม.
>ปลาย ว่าเขาสอบได้ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย ก็ได้รับการตอบรับจาก
>มหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
>
> คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้านฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า "ลูก
>เราทั้งคู่เรียนดี เรียนดีมากนะ" แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูด
>ว่า
>"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"
>
>ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า  "ผมไม่ต้องการเรียน
>ต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"
>พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่ "ทำไมถึงคิดโง่ๆอย่างนี้ ต่อ
>ให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"
>คืนนั้นทั้งคืนพ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน เพื่อขอยืมเงิน
>ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆและคิดว่า
>"ต้องให้น้องได้เรียนต่อ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไป
>ได้"
>แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ใครจะรู้ได้
>
>...วันต่อมาในตอนเช้ามืด น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติด
>ตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
>และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิวก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอน
>ของฉัน
>ขณะฉันกำลังหลับ "พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ..ผมจะไป
>หางานทำแล้วจะส่งเงินมาให้พี่"
>ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า...ฉันร้องไห้จน
>เสียงแหบแห้งไป
>ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี...ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคน
>ในหมู่บ้าน
>รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหาม
>ที่ไซท์ก่อสร้าง... ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
>
>วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันได้
>เข้ามาบอกว่า
>"มีชาวบ้านมาหาเธออยู่ข้างนอกแน่ะ" ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
>ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
>ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
>
>ฉันถามเขาว่า "ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"
>น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้ ขืนบอกว่าเป็น
>น้องพี่ เพื่อนๆ
>ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"
>ฉันค่อยๆเอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆ
>ในลำคอ
> "พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็
>ตาม"
>จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูป
>ผีเสื้อ ...
>เขาติดกิ๊บให้ฉันแล้วพูดว่า "ผมเห็นสาวๆในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่
>ติดบ้าง"
>
>ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใดดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
>เป็นเวลานาน
>ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี ...
>วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
>ฉันสังเกตเห็นว่าหน้าต่างบ้านที่เคยแตกไปได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
>เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
>
>หลังจากที่แฟนของฉันกลับไปฉันพูดกับแม่ว่า "แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความ
>สะอาดบ้านกับซ่อมกระจก เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"
>แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า "แม่ไม่ได้จ้างหรอกน้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าขอเลิก
>งานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอน้อง
>โดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"
>ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่ม
>ลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด
>"เจ็บมากไหม"ฉันถาม
>"ไม่เจ็บสักหน่อยพี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็ม
>ไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะและ..."
>น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยคแต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
>น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปีส่วนฉันอายุ 26
>ปี...
>
>หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
>หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน
>แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
>
>แต่เมื่อออกไปแล้วท่านไม่รู้จะทำอะไรดีจึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่
>บ้านตามเดิม
>น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ... เขาบอก
>กับฉันว่า
>"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"
>สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
>เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
>
>... แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงาน
>ธรรมดา
>วันหนึ่งน้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล และตกลงมาเพราะโดนไฟ
>ดูด ... เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
>น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา ...ฉันโกรธมาก
>จึงตวาดน้องไปว่า "ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! ถ้าเป็นผู้
>จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้ ดูตัวเองซิเจ็บเจียนตายอยู่
>แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"
>
>คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียดยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
>"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน ส่วนผมมันการศึกษา
>ต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการคงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"
>
>น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย ... ฉันบอกกับน้องว่า
>"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว
>ด้วยล่ะครับ"
>น้องชายของฉันจับมือฉันไว้ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29
>ปี...
>
>เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปีเขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียว
>กัน
>ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า "ใครคือคนที่คุณรักที่สุด
>ในชีวิตนี้"
>น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" ... และเขาก็เล่าเรื่อง
>ราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
>"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถมโรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราสองคนพี่น้องต้อง
>ใช้เวลาถึง 2 ชม. เพื่อเดินไปเรียน และเดินกลับบ้าน วันหนึ่งผมทำถุงมือหาย
>ไปข้างหนึ่งพี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอก็ใส่ถุงมือเพียง
>ข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกลเมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
>เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ... นับจากวันนั้น
>ผมสาบานกับตัวเอง ว่าตลอดชีวิตของผมผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีและจะทำดีกับ
>เธอ"
>
>เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วสายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน คำ
>พูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ... "ในโลกใบนี้ คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณ
>ที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"
>
>ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีก
>ครั้ง...
>จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆวันในชีวิตของคุณและเขา
>คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ
>แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
>...ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือพ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน หรือแม้คนที่
>คุณไม่รู้จักก็

yengo ad

BumQ