หนังสือ Maxed Out ไวรัสการเงินของอเมริกากำลัง"ระบาดทั่วโลกแล้ว
"Maxed Out"คือ หนังสือขายดีของ James d.scurlock ผมเคยอ่านนานแล้ว เกี่ยวกับ "ความร้ายกาจของธุรกิจการเงินที่มีต่อสังคม" จะว่าไปแล้วผมก็ทำงานธนาคาร..เอ๊กๆ!!(แต่ไม่เกี่ยว ผมไม่ใช่เจ้าของ จึงพูดได้ หุ หุ...) ..เรื่องมีอยู่ว่า ธุรกิจการเงินแท้จริงแล้วสามารถสร้างและทำลายคนได้ เนื่องจากปัจจุบัน"แม้แต่คนที่มีการศึกษา"ยังตกเป็นเครื่องมือของ"เหยื่อล่อ ..ทางการเงิน"สิ่งนั้นก็คือ "ความโลภ"นั้นเอง
สมัยก่อนเรามักถูกสอน โดย "ปู่ย่าตายาย"ว่าอย่าสร้างหนี้ จงใช้จ่ายแต่พอตัว ..สิ่งเหล่านี้ถูกแทนที่ด้วย"เอาของที่คุณอยากได้ไปก่อน แล้วค่อยจ่ายทีหลัง" ประเด็นปัญหามันอยู่ที่"หนี้"ที่คุณสร้างมันไม่ใช่หนี้ธรรมดา แต่มันเป็น"หนี้ทวีคูณ" --เพราะ"ดอกเบี้ย"ของสินค้าเหล่านี้อาจดูน้อยๆ..ผ่อนเดือนละไม่เท่าไหร่ แต่พอคำนวณเข้าจริง"มันเกือบเท่าตัว" ...ปัญหาหนี้เหล่านี้มีรากเหง้าจาก ประเทศที่"ศิวิไลทางการเงิน"อย่างอเมริกาที่คิด Product ทุกรูปแบบ ตั้งแต่คุณอยู่โรงเรียนก็ออก "Debit Card"ให้ พอคุณอยู่มหาลัย แทนที่จะให้เราจ่ายเงินสด..กลับปลูกฝังให้เราจ่ายผ่านบัตร พออายุถึงเริ่มทำงานก็ส่ง "Credit Card" มาให้ ..พอสักพักก็ส่ง "Car Loan" ตามด้วย "Home Loan" ..นี่แหละครับหลักการ Maxed Out คือ"ปลอกลอกคุณ"--ให้เป็นหนี้ให้มากที่สุด บวกดอกเบี้ยอีกหัวบาน และท้ายสุดก็รวมหนี้คุณเป็นก้อนเล็กๆ --"ให้คุณผ่อนจ่าย(ชั่วชีวิต)"
เดี๋ยว นี้เด็กหลายๆคน จ่าย Credit Card แค่ Minimum Required โดยไม่เคยรู้เลยว่า แท้จริง"เขาจ่ายเกิน(ราคาของ)ไปกี่เท่าตัว" อย่างบัตร Credit แท้จริงคือ"การสร้างนิสัยแห่งการเป็นหนี้ชั่วชีวิต" และสังเกตุไหมว่า ถ้าคุณจ่ายผ่านบัตร "คุณจะควักจ่ายง่ายกว่าเงินสด" และนี่เองเป็นสาเหตุที่ทำไมธนาคารอยากให้คุณทำบัตรเครดิต ..ผมว่าคุณน่าจะเอะใจบ้างว่า ทำบัตรเครคิตใบเดียว แถม"ของมาสิบอย่าง".."ธนาคารเขาไม่โง่หลอกครับ..ทุกอย่างที่ให้คุณ เขารู้ว่าเขาจะเอาอะไรจากคุณ!!" So Nothing is Free in this World !!
หัวใจ ความสำเร็จของ Maxed Out คือ พยายามให้คุณซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็นให้มากที่สุด แต่พยายามให้คุณผ่อนให้นานที่สุด (สรุปคือคุณผ่อนแต่ ดอกเบี้ย เงินต้นทบไปเรื่อยๆ ..จนวาระสุดท้ายของชีวิต --"น่ากลัว!!") คุณรู้ไหมเขาขายบัตรเครดิตอย่างไร (ง่ายๆ) ผมก็บอกคุณว่า "พี่ครับ!!บัตรเครดิตนี่สุดยอด พี่คิดดูนะ..มีที่ไหนแต่ละเดือน ธนาคารสรุปยอดการใช้จ่ายมาให้คุณ ฟรี!! เหมือนคุณมีเลขาส่วนตัว ..สมมุติพี่มีบัตรเครดิตหลายใบ พี่ก็แบ่งแต่ละใบ เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ..เท่านี้พี่ก็สามารถควบคุมรายจ่ายในบ้านทั้งหมด ..พอปลายเดือนธนาคารก็สรุปเป็นStatement มาให้พี่(ฟรี) รายปีไม่ต้องจ่ายอะไร ..สมัครตอนนี้พี่เอาไปเลย "พัดลม Samsumg" ..สรุป คุณ(งง) อ้าปากค้า สมัครทันที" ก็นี่แหละ ชีวิต!!
"Home Loan" นี่ตัวแรงเลย ..มัน American Dream คือสร้างฝันให้ทุกคน"ต้องมีบ้านเป็นของตัวเอง "พอจุดฝันนี้ติด"--Demand มหาศาลของบ้านก็เกิดขึ้น ..พอ Demand มาก ราคาก็"พุ่ง"--ยิ่งพุ่งคนก็ก็ยิ่งซื้อ --ปั่น Bubble กันเข้าไป (รอบ Sub-prime ที่ผ่านมา)เขามีการสร้างแนวคิด การลงทุนในบ้านอย่าง"สวยหรู" เช่น ทุก 7 ปีราคา"บ้านจะทบต้น"....ถามจริงๆเถอะ คุณเชื่อไหม?? --ราคาบ้านมันขึ้นอยู่กับ Demand & Supply ดูตอนนี้ซิครับที่อเมริกา บ้านราคาตกเอา ตกเอา ก็เพราะ Demand มันไม่มี "มีแต่คนจะขายใช้หนี้"ราคาก็ตกเรื่อยๆ แต่หนี้ไม่ได้ตกตาม สรุป (คุณก็จ่ายหนี้ต่อไป)
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ผม Anti ระบบ"ธนาคาร" --"ไม่ใช่ครับ" ผมเพียงแต่เตือน ให้ทราบถึงสิ่งที่อยู่"เบี้องหลัง" ..การค้าทุกประเภทล้วนมุ่งหวังกำไร --ไม่มีอะไรดีสุดๆ "อะไรที่มันดูเหมือนว่าดีเกินจริง มันก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีเกินจริงนั่นเอง" ...ปัจจุบันเราถูกสอนให้มีทุกอย่างที่คนอื่นมี ถ้าไม่มีเงินก้ไปกู้มามี .."แนวคิดต่างหากที่เป็นปัญหา" ..พฤติกรรมของคน มันได้บ่งบอกอยู่แล้วว่า "คนที่จะรวยหรือจน" ดังนั้น มันไม่ใช่โชคชะตา มันขึ้นอยู่กับ"คุณ"ต่างหาก
ผม เคยอ่านหนังสือของ Rich Dad Poor Dad ที่เขาสอนว่ามีทั้ง Good Debt และ Bad Debt คืออะไรที่"กู้เพื่อไปสร้างรายได้ก็เป็นสิ่งที่ดี(Good Debt)" แต่ถ้ากู้ไปซื้อของไม่จำเป็นก็เป็น Bad Debt --ตัวผมเองสมัยเปิดร้านอาหารที่ออสเตรเลีย ก็เอาบ้าง ผม Maxed Out บัตรเครดิตผมที่มีอยู่ ประมาณ 6 ใบ จากนั้นผมก็ไป กู้ธนาคารเพิ่มเพื่อขยาย"สาขา"ร้านอาหาร
..สรุปได้ว่าผม Leverage อย่างมหาศาล ตามตำรา MBA พอทำเปิดได้ ผมก็เริ่ม"ตึง"คือ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ไหนจะหนี้ธนาคาร ไหนจะหนี้บัตรเครดิต ผมเลยคุยกับลูกน้องว่า "เอางี้ผมจะให้ Stock Option คุณ" ..(พูดง่ายๆคือ ผมไม่มีเงินจ่าย เลยจะให้เขาเป็นหุ้นส่วน แบบที่นิยมใน Silicon Valley น่ะครับ) สรุป "เน่าครับ"ร้านนั้นปิดไปเลย ได้ฮา..น้ำตาแตก --ผมถึงบอกว่า "ตำรากับชีวิตจริง" มันหนังคนละม้วน ... นี่แหละครับ ไม่ว่าคุณจะเก่งระดับผู้ประกอบการก็ใช้ว่า Maxed out จะหลอกคุณไม่ได้ ---"มันอยู่ที่คุณ It's Only you" หุ หุ.....