อุทธาหรณ์..........
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่เกิดกับเพื่อนของเพื่อนเราอีกที
เพื่อนเราโทรมาเล่า แล้วก็เอาไปเขียนลงไดอารี่ของเค้า
เราเลยขอคัดลอกมาลงให้อ่านบางส่วนที่นี่อีกทีนึง
เพื่อนเป็นอุทาหรณ์ให้คุณพ่อคุณแม่ทุกๆ ท่านค่ะ
ต่อไปนี้เป็นข้อความที่เราคัดลอกมาค่ะ
คือเราได้มีโอกาสรู้จัก รุ่นพี่ที่ทำงานของพี่ xxx
พี่คนนี้เป็นคนนิสัยดีแต่เป็นคนรักการทำงานมาก และด้วยการทำงานที่ต้องบินไปมา
ไม่แน่นอนทำให้ไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัวมากนัก
ปีนี้ลูกชายคนเดียวของพี่เค้า คือน้องออม เพิ่งจะสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังที่หลายๆคนอยาก
เข้าในแถบชลบุรีได้ เลยขอพ่อว่า เออ...ขอไป ตปทได้ไหม
แต่เวลาของคุณพ่อก็ไม่มีเลยเชียว ตารางเต็มไปหมดเลยขอผลัดไปปีหน้าแล้วกันนะ
น้องออมก็เลยต้องอยู่บ้านช่วงปิดเทอมพร้อมกับญาติๆ เมื่อต้นเดือนเมย. ญาติๆของน้องออม
อยากไปเที่ยวทะเลกรุงเทพเลยตกลงใจมาเที่ยวที่ทะเลกรุงเทพ
และเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นี้
วันนั้น น้องออมเล่นน้ำกับญาติๆอย่างมีความสุข
ในสวนน้ำขนาดใหญ่ที่พูดกันตรงๆว่า ไม่มีการรักษาความสะอาดเลย
คนมาตำส้มตำ มาปิ้งย่างมา สารพัดจะมาน่ะ
ด้วยความที่เป็น ดช.ร่างกายแข็งแรงร่าเริงก็เล่นโดยไม่คิดอะไร
และค่อนข้างโลดโผนจนน้องเกิดการสำลักน้ำ แต่ก็เป็นเหตุการณ์ปรกติ
ที่เด็กเล่นน้ำจะสำลักน้ำ ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดีจนกระทั่งคืนนั้น
น้องออมมีอาการตัวร้อน และปวดหัว จนเช้าได้มีการทานยาลดไข้ตามปรกติและเช็ดตัว
คุณแม่ได้พาน้องออมไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลภูมิพล
เพราะคิดว่าเป็นไข้ทั่วๆไป ครั้งแรกที่ไปคุณหมอตรวจไม่พบอาการอะไร
จึงให้ยาตามปรกติแล้วกลับมาบ้าน น้องออมกลับมาบ้าน
และทานข้าวทานยาและนอนหลับไปตอน 1 ทุ่ม
ก่อนนอน น้องออมบอกกับคุณแม่ว่า เดี๋ยวหายแล้วกลับบ้านเรานะแม่
( น้องออมมาเที่ยว และพักที่บ้านญาติแถวดอนเมือง)
ใครจะรู้ว่านั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่น้องออมจะหลับไปอย่างไม่มีวันกลับ
เช้าวันนั้นคุณแม่น้องออมมาปลุกตามปรกติ แต่ลูกชายที่รักกลับนอนนิ่งไม่ยอมตื่น
ไม่แม้แต่ขยับเปลือกตาอะไรเลย จึงได้นำสงโรงพยาบาลภูมิพลอีกครั้ง
และครั้งนี้พบว่าน้องออมมป่วยเป็นไข้สมองอักเสบ
หัวใจของคนเป็นแม่เจ็บปวด หัวมึนหมุนไปหมด
ญาติก็ทำอะไรไม่ถูก จึงได้โทรติดต่อคุณพ่อน้องออมซึ่งก็ติดภารกิจกว่าจะบินกลับก็อีก 2 วัน
ได้แต่ร้องไห้ ร้องไห้และร้องไห้
และส่งข่าวคราวถึงรุ่นน้อง ผองเพื่อนทุกๆคน ซึ่ง 1 ในนั้นคือพี่ xxx และตัวเราด้วย
ทุกคนรุดไปเยี่ยมน้องออม ภาพที่เห็น คือเด็กชายที่เคยวิ่งเล่นร่าเริงสมวัยกลับนอนนิ่ง
หน้าอกขยับขึ้นลงช้าๆ ตัวซีดขาว รอบตามีรอบดำคล้ำ
ปากแห้งแตก และมีผ้าพันไว้รอบหัว เพราะน้องออมมีอาการของสมองบวม
เนื่องจากเชื้อร้ายตัวนี้มันเข้าไปทำลาย มันเข้าไปไวมาก และกินสมองน้องไปเรื่อยๆ
สมองน้องจะบวมๆ ต้องผ่าเปิดกระโหลกเพื่อให้สมองได้ขยายตัว
แล้วใจของแม่ที่ไหนจะทานทนได้ ที่ต้องเห็นลูกที่เรารักเลี้ยงดูมา
ไม่เคยให้เจ็บปวดต้องมาโดนหมอเอามีดผ่าลงไปนหัวน้อยๆที่เคยหนุนตักนอน
หนูจะทนได้สักเท่าไร ลูกจะเจ็บมากไหม
ซ้ำร้าย ที่โรงพยาบาลยังบอกว่าเครื่องวัดความดันสมอง
ที่คอยจับเวลาดูในแต่ละชั่วโมง แต่ละวินาที ว่าสมองน้องออม กิดอะไรขึ้น
ซึ่งก็คือการจับดูนาทีชีวิตนาทีต่อนาทีนั่นเอง ของโรงพยาบาลนั้นมีแค่เครื่องเดียว
เครื่องเดียววววว....และ ถ้ามีคนป่วยเข้ามา
ก็ต้องถอดไอ้เครื่องนี้เพื่อไปเสียบคนอื่นแล้วลูกแม่ ล่ะ...จะเป็นยังงัย
เราทุกคนได้โทรติดต่อญาติๆ ที่ทำงานด้านโรงพยาบาลจนเราพบว่า (..อันนี้จำเลยนะคะ)
เครื่องมือที่ว่าเนี่ย มีที่โรงพยาบาลเด็ก เท่านั้น
โรงพยาบาลเอกชนยังต้องมาเช่าจากโรงพยาบาลเด็กไปเลย
ตอนนี้การรักษาเด็กที่โรงพยาบาลเด็กทันสมัยและดีที่สุด (ในเคสหนัก)
มากกว่าโรงพยาบาลเอกชนทุกโรงเลยก็ว่าได้
แต่ไม่สามารถพาน้องย้ายไปได้เนื่องจากน้องได้ทำการผ่าสมองที่นี่แล้ว
โอกาสเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมันมากเกินไป และได้ความรู้ใหม่จากคุณหมอด้วยว่า
เด็กคนไข้ที่เป็นไข้สมองอักเสบนี่มากทีเดียวที่โรงพยาบาลเด็ก และมาจาก
ที่สวนน้ำแห่งนี้ ม่น้อยกว่า 10 ราย และเคสคล้ายกันคือ
ไปเล่นน้ำที่นี่แล้วเกิดติดเชื้อมาจากการสำลักน้ำ
จริงๆการติดเชื้อนี้เกิดได้หลายสาเหตุ แต่จากการสำลักน้ำนี่มากที่สุด
แต่ก็นะเด็กกับน้ำนี่ขาดกันไม่ได้ คุณหมอบอกว่าถ้าเลือกได้ให้เลือกสระน้ำเกลือ
เพราะจะมีความสะอาดกว่า ถึงจะไม่ 100% ก็เถอะ หากสระธรรมดา
ยิ่งสระตามโรงแรมที่พักใหญ่ๆ ยิ่งมีโอกาสเสี่ยงสูง
( พูดถึงสระใหญ่ ในสมอง xxxx พุ้งปรี๊ดถึงโรงแรมดังไฮโซเลยนะเนี่ย แอบคิดแบบชั่วๆ
ให้ลูกคนรวยๆดังๆโดนมั่งจะได้ตื่นตัวกันสักที เพราะจะเอาอะไรมาประกันว่าลูกคนมีเงินมันจะไม่มีเชื้อโรคหึ)
ต่อให้มีเครื่องบำบัดแต่มันก็น้ำเท่านั้นเอง
มันไม่ได้ฆ่าเชื้อโรค ยิ่งที่ไหนกลิ่นคลอรีนเข้มๆ นี่ทำใจไว้ได้เลย
พยายามอย่าให้เด็กสำลักน้ำเป็นสำคัญ วัคซีนที่เราทุกคนไปฮีดๆกันน่ะ กันได้แค่ 50% เท่านั้น
และที่สำคัญที่สุดคือ เชื้อนี่มีในทุกที่ทุกแห่งและทุกเวลา
ไม่สามารถบอกได้ว่าจะเกิดตอนไหน จริงๆ ปะเหมาะเคราะห์ร้าย
เกิดมาจ๊ะตอนลูกเราไม่เต็มร้อย ก็เป็นแบบน้องออม
คุณแม่จึงต้องให้น้องออมอยู่ที่โรงพยาบาลภูมิพลต่อไป
ต้องนั่งมองลูกชายตัวน้อยที่หลับใหลผ่านกระจก
ต้องคอยหวังว่าจะไม่มีใครมาแบ่งเครื่องนี้จากน้องออมไปใช้
และภาวนาว่าลูกชายจะตื่น และกลับบ้านพร้อมกับแม่คนนี้ นาทีต่อนาทีที่เฝ้าภาวนา
จากนั้นคุณพ่อของน้องออมกลับมา
คุณพ่อน้องออมเป็นผู้ชายร่างใหญ่ที่ปล่อยโฮร้องไห้แบบไม่อายใคร
ในนาทีที่รู้ว่าไม่มีอะไรสามารถช่วยลูกชายได้นอกจาก ปาฏิหาริย์
ถ้าปลดเครื่องช่วยหายใจ นั่นคือ ดวงใจดวงน้อยของพ่อก็จะจากไปไม่มีวันกลับ
งานการที่ทุ่มเททำไปไม่มีประโยชน์อะไรในตอนนี้
ทุกคนยื้อน้องออมสุดชีวิต ในทุกวีถีทางที่จะทำได้
ถ้าตายแทนได้พี่ทำไปแล้ว
คำพูดจากปากคุณพ่อคุณ แม่น้องออม
และสุดท้ายน้องก็จากไปเวลา ตีสอง
รวดเร็วมากเชื้อร้ายนี้ ใช้เวลาเพียง 5 วัน
คร่าชีวิตเด็กน้อยอายุ 10 ปี ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะหลุดลอยไปจากร่างอันเป็นสุดที่รัก
คุณแม่น้องออมร้องไห้ราวกับจะขาดใจ
ร้องจนเป็นลม ฟื้นขึ้นมาก็ร้องใหม่ ร้องจนแทบขาดใจ
ส่วนคุณพ่อ ไม่มีน้ำตาเพราะมันตกในไปหมดแล้ว
มันไหลตกอยู่ในใจอย่างเจ็บปวด สวมกอดร่างน้อยๆที่เคยวิ่งเล่นที่เคยพูดคุย
ที่เป็นแก้วตาดวงใจ และจูบเบาๆที่หน้าผากและบอกกับน้องออมว่า
แม่+พ่อรักหนูนะลูก.. และนั่งดูหัวใจค่อยๆลด ค่อยๆลด ไปทีละกราฟ
สิ่งที่ใจหายที่สุดคือไม่มีแม้แต่บอกลาสักคำเดียว
ไม่มีใครคิดว่าการหลับตอน 1 ทุ่มตอนนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นน้องออมหายใจ
ไม่มีลางบอกเหตุ ไม่มีอะไรเลย ....
เราได้ไปร่วมงานศพของน้องที่สัตหีบเมื่อวันพฤหัสที่ 22 เม.ย. 53 ที่ผ่านมา
บรรยากาศเศร้าสลดไปหมด เราไม่สามารถไปรดน้ำน้องได้
กลัวจะร้องไห้ แล้วจะยิ่งทำให้บรรยากาศแย่ไปกันใหญ่
ได้ยินแต่เสียงร้องไห้ของคุณแม่น้องออม ยิ่งนาทีที่เอาใส่โลงนะ
เสียงเหมือนจะขาด ใจ............ เราได้มีโอกาสเข้าไปคุยกับพี่เค้าก่อนกลับหลังสวดเสร็จ
พี่เค้าทำเอาเราน้ำตาแตกจนได้กับการที่พี่เค้าเดินไปเคาะที่โลงน้องออม แล้วบอกว่า
หนูได้กลับบ้านแล้ว ลูกจ๋า กลับบ้านเราเถอะนะลูก ... ...
หลับให้สบายนะหลานน้า....
และทุกคน.....เสียใจ จนถึงทุกวันนี้
เราไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับสวนน้ำแห่งนี้ แต่เราไม่อยากให้เหตุการณ์นี้เกิดกับใคร
รบกวนคุณพ่อคุณแม่ทุกๆ ท่าน พี่น้องทุกๆคนช่วยกันบอกๆ ต่อกันเยอะๆ นะคะ