Ad

Right Up Corner

Ad left side

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คุณค่า"หลังธนบัตรที่เราไม่ค่อยสังเกตุกันครับ

แต่ละวัน...คุณใช้"ธนบัตร"ราคาไหนบ้างครับ

        แน่นอน คุณรู้ว่า"ธนบัตร"มีค่า แต่คุณรู้ไหมครับว่านอกจาก"ค่า"คือราคาของตัวเองแล้ว "ธนบัตร"ยังมี"คุณค่า" เพราะ"หลังธนบัตร"มีสิ่งดีๆ       ที่สอนเราอยู่  แต่เราไม่เคย"อ่าน" นอกเหนือจากไม่ค่อยสังเกตุว่า"หลังธนบัตร"แต่ละราคาเป็นภาพของกษัตริย์องค์ไหน
      
  ผมเลยขอนำ"คุณค่า"หลังธนบัตรมาบอก..
       ธนบัตร ๒o บาท ...คุณรู้ไหมว่าเป็นภาพของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ไหน
        คำตอบก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล และ "คุณค่า" หลังธนบัตรนี่ มีข้อความว่า
       
"ถ้าคนไทยทุกคน ถือว่าตนเองเป็นเจ้าของชาติบ้านเมือง
        และต่างปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี ด้วยความสุจริตและถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรมแล้ว
        ความทุกข์ยากของบ้านเมือง ก็จะผ่านพ้นไปได้
        มาถึงแบงก์ร้อย
        ส่วนใหญ่คงจำกันแม่นว่า"หลังธนบัตร"สีแดงใบละร้อย เป็นภาพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยะมหาราช                        แต่คุณเคยรู้ "คุณค่า" หลังธนบัตรนี้ไหม คำตอบนี่ครับ..
       
"ประเพณีทาสที่มีอยู่ในพระราชอาณาจักรสยาม ถึงเป็นวิธีทาสทำสารกรมธรรม์
        ขายตัวด้วยใจสมัคร มิใช่ทาสเชลย ที่เป็นการกดขี่อย่างร้ายแรงก็จริง
        แต่เป็นเครื่องกีดขวางทางเจริญ ประโยชน์และสุขสำราญ ของมหาชนอยู่อย่างหนึ่ง
        ซึ่งจำเป็นจะต้องเลิกถอน อย่าให้มีประเพณีทาสในพระราชอาณาจักรนี้
        กรุงสยามจึงจะมีความสมบูรณ์เท่าทันประเทศอื่น"
        แบงก์ ๕oo ล่ะ ใช้ธนบัตรสีม่วง รู้ไหมเป็นภาพพระองค์ไหน
        แน่นอนว่าหลายคนคงนึกไม่ออก ..เพราะเป็น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระราชดำรัสไว้ในเราทราบคือ..
       
"การงานสิ่งใดของเขาที่ดี ควรจะเรียนร่ำเอาไว้ ก็เอาอย่างเขา
        แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปเสียทีเดียว"
        แบงก์ใหญ่ที่สุด ธนบัตรใบละ ๑ooo บาท
        หลายคนทราบดีว่าเป็นภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่เคย"อ่าน"สิ่งที่มี"คุณค่า"หลังธนบัตรไหมครับ
       
เศรษฐกิจแบบพอเพียง
        เศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่าอุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง
        นี่คือ"คุณค่า"หลังธนบัตรที่เราไม่ค่อยสังเกตุกันครับ

ขโมยรถ แสนง่ายๆ

Parking Garage จ๊าบสุดๆ ขอร้องให้เปิดดู

สิ่งที่เรามักจะนึกเสียใจก่อนเสียชีวิต



> > สิ่งที่เรามักจะนึกเสียใจก่อนเสียชีวิต

> > โดย : รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th

> > โดยนักเขียนผู้นี้เคยทำงานดูแลผู้ป่วยที่รู้ตัวว่าจะเสียชีวิตและกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อรอวันตาย
> > โดยเธอจะอยู่
> > กับผู้ป่วยเหล่านี้ในช่วงสามถึงสิบสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิต
> > โดยในช่วงเวลาดังกล่าว เธอ
> > ได้มีโอกาสพูดคุย และรับฟังความในใจของผู้ป่วยเหล่านี้
> > เมื่อถามถึงสิ่งที่เสียใจหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่ถ้าทำ
> > ได้อยากจะย้อนอดีตไปเปลี่ยนแปลงนั้น
> > เธอพบว่ามีอยู่ห้าประเด็นที่มักจะพบในผู้ป่วยที่กำลังใกล้เสียชีวิต
> > เป็นส่วนใหญ่ครับ

> > ประเด็นแรก คือ
> > ผู้ป่วยเหล่านี้อยากจะมีความกล้าที่จะใช้ชีวิตตามแบบที่ตนเองอยากหรือต้องการจะเป็น
> > ไม่ใช่ดำรงชีวิตตามความต้องการหรือความคาดหวังของผู้อื่น < BR>> > ซึ่งพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ป่วยอยากจะ
> > เปลี่ยนแปลงมากที่สุดครับ
> > เนื่องจากเมื่อผู้ป่วยพบว่าชีวิตตนเองกำลังจะสูญเสียไป และมีโอกาสมองย้อน
> > กลับไปในอดีตนั้น จะพบว่ามีความฝันหลายๆ
> > อย่างที่ยังไม่ได้เริ่มต้นทำหรือยังไม่บรรลุ และเมื่อใกล้จะ
> > เสียชีวิตก็จะพบว่าความฝันของตนเองนั้นจะไม่มีวันบรรลุ
> > และส่วนใหญ่ก็มักจะมานั่งนึกเสียใจ เพราะ
> > สาเหตุที่ไม่สามารถทำตามความฝันได้นั้น เป็นเพราะตัวเองเลือกที่จะไม่ทำเอง
> > ตัวเองเลือกที่จะทำตาม
> > สิ่งที่ผู้อื่นขีดเส้นทางให้เดิน

> > ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับทุกๆ ท่านนะครับ ที่ในช่วงชีวิตหนึ่ง
> > ถ้ามีโอกาสและเลือกได้ก็ควรจะเดิน
> > ตามความฝันของตัวท่านเอง เพราะคนเราหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย
> > และเมื่อวันนั้นมาถึง เราก็คง
> > จะไม่มีแรงที่จะเดินตามความฝันที่เราต้องการแล้ว
> > การมีสุขภาพที่ดีจะช่วยทำให้ท่านเดินตามความฝันได้
> > แต่เมื่อใดก็ตาม ที่สุขภาพท่านเริ่มแย่แล้ว
> > อิสระในการเดินตามฝันก็ท่านก็จะลดน้อยลง

> > ประเด็นที่สอง คือ ผู้ป่วยใกล้เสียชีวิตเหล่านั้น
> > คิดเสียใจว่าในอดีตจะไม่ได้ทำงานหนักเหมือนที่ผ่านมา
> > ซึ่งเหตุการณ์นี้ มักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยชายเกือบทุกคนเลยครับ
> > คุณผู้ชายเหล่านี้มักจะเสียใจว่าในอดีตที่ผ่าน
> > มา ไม่ค่อยได้มีเวลาในการดูแลลูกๆ ของตนเท่าที่ควร
> > รวมทั้งไม่ได้อยู่เป็นคู่ทุกข์คู่ยากภรรยาเท่าที่ควร
> > ผู้ป่วยที่เป็นชายเกือบทุกคนจะรู้สึกเสียดายว่าในอดีตใช้
> > และให้เวลากับงานมากเกินไป

> > ข้อสังเกตนี้ก็น่าคิดนะครับ
> > ว่าในปัจจุบันเราให้ความสำคัญกับการทำงานมากเกินไปหรือไม่ เราต้องการ
> > แสวงหารายได้ ชื่อเสียง เกียรติยศมากเกินไปหรือไม่
> > สุดท้ายเมื่อเราใกล้ตายเราจะสำนึกเสียใจว่า
> > เราได้พลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตที่ไม่มีวันหวนกลับมาหรือไม่
> > การมีรายได้ที่พอเพียงอาจจะเป็นทางออก
> > สำหรับทุกท่านนะครับ อีกทั้งการมีที่ว่า งในตารางเวลาและชีวิต
> > ที่ไม่ใช่เรื่องของการทำงานเพียงอย่าง
> > เดียว จะทำให้เรามีความสุขขึ้น และเมื่อเราใกล้เสียชีวิต
> > จะไม่มานั่งย้อนนึกเสียใจในสิ่งที่เราพลาดไป

> > ประเด็นที่สาม คือ
> > ผู้ป่วยอยากจะกล้าที่จะแสดงอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตน
> > เนื่องจากคนจำนวน
> > มากจะปิดกั้นอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตน
> > เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบและสันติ ทำ
> > ให้สุดท้ายแต่ละคนรู้สึกว่าอารมณ์ของตนเองถูกเก็บกด
> > และไม่สามารถเป็นตัวตนที่แท้จริง

> > ประเด็นที่สี่ คือ ผู้ป่วยที่ใกล้เสียชีวิตนั้น
> > มักจะเสียใจที่ไม่ได้ติดต่อเพื่อนฝูงเก่าๆ เนื่องจากเรามักจะไม่
> > ค่อยเห็นถึงคุณค่าของเพื่อนเก่าๆ จนกระทั่งใกล้เสียชีวิต
> > คนจำนวนมากจะมัวแต่ยุ่งและวุ่นวายกับชีวิต
> > ประจำวัน จนละเลยต่อความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนฝูง
> > ทำให้เรามักจะไม่ค่อยให้ความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูง
> > ต่างๆ จนกระทั่ง ใกล้จะเสียชีวิต ก็จะเริ่มนึกถึงเพื่อนฝูงขึ้นมา

> > ดูเหมือนว่าเมื่อคนใกล้จะเสียชีวิต เกียรติยศ เงินทอง หรือสถานะทางสังคมต่างๆ
> > กลับดูไปจะด้อยหรือ
> > ไร้ความหมายนะครับ สุดท้ายดูเหมือนว่า เรื่องของความรัก
> > ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะกลายเป็นสิ่งที่
> > ผู้ป่วยที่กำลังใกล้ตายนึกถึง

> > ประเด็นสุดท้าย ซึ่งค่อนข้างน่าแปลกใจ คือ
> > ผู้ป่วยเหล่านี้กลับสำนึกเสียใจว่าไม่ได้ทำให้ชีวิตที่ผ่านมาของ
> > ตนเองมีความสุขเท่าที่ควร
> > ผู้ป่วยหลายคนจะไม่เคยนึกถึงมาก่อนนะครับว่าตนเองสามารถที่จะเลือกที่จะ
> > ทำให้ชีวิตมีความสุขได้ คนจำนวนมากเลือกที่จะอยู่และปฏิบัติในสิ่งที่คุ้นเคย
> > ความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง
> > ทำให้คนเรามักจะหลอกตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นมีความสุข ซึ่งจริงๆ
> > แล้วกลับไม่ใช้

> > ท่านผู้อ่านจะเห็นได้นะครับว่าเมื่อคนเราใกล้จะตายนั้น
> > เรามักจะนึกย้อนกลับไปถึงอดีต และเริ่มสำนึก
> > เสียใจในสิ่งที่ได้ท ำหรือไม่ได้ทำมาในอดีต และเราจะพบว่าเมื่อเราใกล้ตายแล้ว
> > เงินทอง ชื่อเสียง
> > สถานะ เกียรติยศต่างๆ กลับไม่มีความหมาย สิ่งที่มีความหมายเมื่อใกล้ตาย คือ
> > เรื่องของความรักและ
> > ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
> > ซึ่งหลายครั้งกลับกลายเป็นสิ่งที่เราละเลยหรือไม่สนใจในขณะที่เรามีชีวิตอยู่

> > นอกจากนี้ เมื่อใกล้ตาย
> > คนเราจะพบว่าชีวิตในอดีตที่ผ่านมานั้นเรามีสิทธิที่จะเลือก
> > แต่เราดันเลือกในสิ่ง
> > ที่ไม่ได้ทำให้เรามีความสุข หรือเลือกในสิ่งที่ทำให้เราต้องมาย้อนสำนึกเสียใจ
> > เมื่อเราใกล้ตาย ดังนั้น
> > ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่และยังแข็งแรง เราจะต้องเลือกอย่างมีสติ
> > เลือกอย่างฉลาด เลือกในสิ่งที่ถูก
> > และเลือกในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขนะครับ


อ่านข้อความนี้แล้ว มีความเห็นต่างออกไปนิดหนึ่ง คือ
การที่เราตัดสินใจทำสิ่งที่ขัดกับความรู้สึกหรือความต้องการของตัวเองในอดีต อาจเพราะไม่ต้องการทำให้คนที่เรารักเสียใจ
ถ้าคนที่เรารักดีใจเราก็พลอยมีความสุขไปด้วย มิใช่หรือ
ถ้าย้อนกลับไปทำตามใจตัวเองได้ แล้วสิ่งนั้นทำให้คนที่เรารักเสียใจ
ก็จะเป็นตราบาปติดค้างในใจ พอใกล้ตายก็จะเสียใจอีกเช่นกัน เพราะฉะนั้น จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ ทำวันนี้อย่างมีสติ ไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆ ไม่ว่าสุขหรือทุกข์
อย่างเดียวที่ต้องระวัง คืออย่าประมาทในการก่อเวรก่อกรรม
สำหรับตัวเองแล้ว สิ่งที่จะเสียใจ และอยากทำก่อนตายคือ ขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรทุกคน

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันอาสาฬหบูชา

อ้างถืง http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AC%E0%B8%AB%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B2



วันอาสาฬหบูชา (บาลี: อาสาฬหปูชา; อังกฤษ: Asalha Puja) เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของชาวพุทธเถรวาทและวันหยุดราชการในประเทศไทย[1] คำว่า อาสาฬหบูชา ย่อมาจาก "อาสาฬหปูรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ" อันเป็นเดือนที่สี่ตามปฏิทินของประเทศอินเดีย ตรงกับวันเพ็ญ เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนมิถุนายนหรือเดือนกรกฎาคม แต่ถ้าในปีใดมีเดือน 8 สองหน ก็ให้เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 8 หลังแทน
วันอาสาฬหบูชาได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 คือวันอาสาฬหปุรณมีดิถี หรือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ[2]ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ อันเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรกเป็นปฐมเทศนา คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่ปัญจวัคคีย์[3]
การแสดงธรรมครั้งนั้นทำให้พราหมณ์โกณฑัญญะ 1 ใน 5 ปัญจวัคคีย์ เกิดความเลื่อมใสในพระธรรมของพระพุทธเจ้า จนได้ดวงตาเห็นธรรมหรือบรรลุเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบัน ท่านจึงขออุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา พระอัญญาโกณฑัญญะจึงกลายเป็นพระสงฆ์องค์แรกในโลก และด้วยเหตุที่ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล (อนุพุทธะ) เป็นคนแรก จึงทำให้ในวันนั้นมีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วันนี้ถูกเรียกว่า "วันพระธรรม" หรือ วันพระธรรมจักร อันได้แก่วันที่ล้อแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้หมุนไปเป็นครั้งแรก และ "วันพระสงฆ์" คือวันที่มีพระสงฆ์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก อีกด้วย
เดิมนั้นไม่มีการประกอบพิธีการบูชาในเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาในประเทศพุทธเถรวาทมาก่อน จนมาในปี พ.ศ. 2501 การบูชาในเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาจึงได้เริ่มมีขึ้นในประเทศไทย ตามที่คณะสังฆมนตรี ได้กำหนดให้วันนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2501 โดยคณะสังฆมนตรีได้มีมติให้เพิ่มวันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาในประเทศไทย ตามคำแนะนำของ พระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี)[4] โดยคณะสังฆมนตรีได้ออกเป็นประกาศสำนักสังฆนายกเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2501[5] กำหนดให้วันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาพร้อมทั้งกำหนดพิธี อาสาฬหบูชาขึ้นอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีพิธีปฏิบัติเทียบเท่ากับวันวิสาขบูชาอันเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล
อย่างไรก็ตาม วันอาสาฬหบูชาถือเป็นวันสำคัญที่กำหนดให้กับวันหยุดของรัฐเพียงแต่ในประเทศ ไทยเท่านั้น ส่วนในต่างประเทศที่นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทอื่น ๆ ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันอาสาฬหบูชาเทียบเท่ากับวันวิสาขบูชา
 

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รวมบทเพลง เกี่ยวกับ แม่

เพลงเรียงความเรื่องแม่


เพลงจุดธูปบอกแม่


เพลงเด็กบ้านนอก

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เมืองไทย น่าเที่ยว

นาข้าวขั้นบันได แม่แจ่ม

Rainbow at Baiyok sky

นาข้าวขั้นบันได แม่แจ่ม

ทุ่งแสลงหลวง

แสงทอง : เขื่อนรัชประภา เขาสก

สิมิลัน

หอคอย เมืองสุพรรณ

วัดโพธิ์

น้ำตกเหวนรก เขาใหญ่

หมู่เกาะพีพี พังงา

ปันหยี

วัดถ้ำเสือ กาญจนบุรี

น้ำตกแสงจันทร์ อุบล

พระธาตุกองมู แม่ฮองสอน

น้ำตกบักเตว : อีกชื่อน้ำตกห้วยหลวง อุบล

ปากน้ำ ระนอง

ภูแลนคา ชัยภูมิ

ผาแต้ม

ห้วยน้ำดัง

ดอยแม่ตะมาน

ทีลอซู ฤดูใบไม้ร่วง

เกาะทับ ทะเลแหวก, กระบี่

ไร่สเตอเบอรี่ ที่หมู่บ้านนอแล ที่ดอยอ่างข่าง

น้ำตกพรหมโลก นครศรีธรรมราช

ห้วยน้ำดัง

ดอกพญาเสือโคร่งบาน ที่ขุนช้างเคี่ยน

ทะเลทรายเมืองไทย แม่น้ำโขง

ดอยหลวงเชียงดาว

ตั้งสติ เอาตัวรอด

>>>> >>>>>เนื้อเรื่องน่าสนใจและดีมาก จึงส่งต่อมาให้อ่านโดยทั่วกัน
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>หวังว่าคงเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่าน
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>1.
>>>> >>>>>
>>>> >>>>เคล็ดลับจากวิชาเทควันโด้.....ข้อศอกเป็นจุดที่แข็งแกร่งที่สุดของร่างกายหาก
>>>> >>>>>ถูกทำร้าย
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>หรือกำลังจะถูกทำร้าย และคุณอยู่ในระยะที่ใกล้พอ
>>>> >>>>จงใช้ข้อศอกให้เป็นประโยชน์
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>(ถองกบาลหรือกกหูมันแรงๆ)
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>2. ข้อแนะนำจากหนังสือแนะนำนักท่องเที่ยวเมืองนิวออร์ลีนส์
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>หากถูกโจรจี้และขอกระเป๋าถือหรือ กระเป๋าสตางค์
>>>>
>>>> >>>>>อย่ายื่นกระเป๋าให้โจร
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>แต่ให้เขวี้ยงกระเป๋าไปไกลๆ
>>>> >>>>>เพราะเป็นไปได้ว่าเจ้าโจรนั่นอาจสนใจเงินำ
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>
>>>> >>>>หรือข้าวของในกระเป๋ามากกว่าตัวคุณมันจะวิ่งไปคว้ากระเป๋าที่คุณโยนออกไป้
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>ทีนี้ก็จงวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปในทิศทางตรงกันข้าม
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>3.
>>>> >>>>ถ้าถูกจับขังในฝากระโปรงท้ายรถพยายามทุบให้ไฟท้ายรถหลุดออกจากนั้นยื่น
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>แขนออกมาจากรูโหว่แล้วโบกสุดฤทธิ์ คนขับมองไม่เห็นคุณ
>>>> >>>>>แต่รับรองชาวบ้านเห็น
>>>> >>>>>แน่ๆลๆ
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>วิธีนี้ช่วยชีวิตคนมานักต่อนักแล้วยายาม
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>4. อย่านั่งแช่ในรถ สาวๆ ทั้งหลาย เมื่อเสร็จภารกิจช้อปปิ้ง
>>>>
>>>> >>>>>กินข้าว
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>เลิกงาน ฯลฯ สาว ๆ เมื่อก้าวขึ้นรถแล้ว ก็มักจะ นั่งแช่
>>>> >>>>>ทำอะไรต่อมิอะไรกระจุก
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>กระจิก เป็นต้นว่า ดูสมุดบัญชี จดลิสต์รายการข้าวของ
>>>> >>>>หรือเรื่องที่จะต้องทำ
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>หรืออื่นๆ ขอเตือนว่าอย่าทำเช่นนี้เป็นอันขาด ผู้ร้ายอาจ
>>>> >>>>>กำลังจับตาเฝ้าดูคุณ
>>>> >>>>>อยู่
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>การที่นั่งจ่อมอยู่อย่างนี้แหละจะเป็นโอกาสอันงามที่มันจะก้าวขึ้นมานั่ง
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>ในรถข้างๆ คุณ เอาปืนจี้แล้วสั่งให้พาไปไหนต่อไหน
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>เพราะฉะนั้นก้าวขึ้นนั่งในรถเมื่อไรให้รีบล็อคประตูแล้วออกรถทันที
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>5. ต่อไปนี้เป็นข้อแนะนำเล็กๆ
>>>>น้อยๆ
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>เมื่อคุณต้องเดินไปยังรถที่จอดในลานจอดรถ
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>โรงจอดรถ หรืออาคารที่จอดรถ
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>ก. ประสาทตื่นตัว
>>>>หมั่นสำรวจรอบตัวมองข้างในรถทั้งที่นั่งข้างคนขับ
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>พื้นรถรวมถึง เบาะหลังด้วย
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>ข. ถ้ารถคุณจอดอยู่ข้างรถตู้คันใหญ่
>>>> >>>>>แนะนำให้ขึ้นรถด้านประตูผู้โดยสาร
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>ผู้ร้ายส่วนใหญ่มักฉวยโอกาสจังหวะที่เหยื่อกำลังเปิดประตูรถลากตัวเหยื่อ
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>ขึ้นรถต
>>>>ู้
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>ค.
>>>> >>>>ดูรถที่จอดอยู่ข้างรถคุณทั้งฝั่งซ้ายและขวาหากมีผู้ชายนั่งอยู่คนเดียวตรง
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>เบาะด้านที่ใกล้รถคุณ
>>>> >>>>ควรหลีกเลี่ยงด้วยการเดินกลับเข้าไปในห้างหรือที่ทำงาน
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>แล้วขอให้เจ้าหน้าที่ห้าง หรือ
>>>> >>>>>รปภ.หรือเพื่อนชายเดินกลับมาส่งที่รถ
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>ปลอดภัยไว้ก่อน ดีกว่าต้องเสียใจทีหลัง
>>>> >>>>>(โดนหาว่าประสาทดีกว่าต้องซี้ม่องเซ็ก)
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>6.
>>>> >>>>>ควรใช้ลิฟต์แทนการขึ้นลงทางบันไดบันไดเป็นจุดที่น่ากลัวที่สุดถ้าอยู่คน
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>เดียวรวมทั้งเป็นจุดที่เกิดอาชญากรรมได้ดีที่สุด
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>7.
>>>>หากผู้ร้ายมีปืน และคุณยังไม่ได้ถูกจี้ .. วิ่งหนี!
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>โอกาสที่มันจะยิงโดนคุณมีเพียง 4 ใน 100
>>>> >>>>>ครั้งเท่านั้น(เป้าเคลื่อนที่)
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>และถึงจะยิงโดน ก็เป็นไปได้มากว่าจะไม่ถูกอวัยวะสำคัญ
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>เพราะงั้นวิ่งลูกเดียว!
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>8. ผู้หญิงมักใจอ่อน ขี้สงสารและเห็นอกเห็นใจไม่ต้องเลย
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>เพราะอาจนำไปสู่การทำร้ายร่างกาย ข่มขืน หรือฆาตกรรมได้
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>กรณีนี้มีตัวอย่างมาแล้ว ฆาตกรต่อเนื่องรายหนึ่งในอเมริกาชื่อ
>>>>เท็ด
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>เบินดี้ม เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี
>>>>มีการศึกษา
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>มักใช้กลวิธีเรียกร้องความสงสารจากเหยื่อเพศหญิงซึ่งไม่ได้เกิดความสงสัย
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>สักนิด เขาหลอกลวงเหยื่อให้ตายใจด้วยการเดิน โดยอาศัยไม้เท้า
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>หรือแสร้งทำขากะเผลกจากนั้นจะขอ "ความช่วยเหลือ"
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>จากเหยื่อให้ช่วยพยุงขึ้นรถจากนั้นก็ใช้จังหวะนั้นลักพาตัวไป
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>9. จากหนังสือภัยจาก 108 มงกุฏ
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>เมื่อคุณกลับบ้านในเวลากลางคืนหากถูกคนร้ายจี้
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>ชิงทรัพย์ ฯลฯ เวลาร้องขอความช่วยเหลือให้ร้องว่า
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>"ไฟไหม้" แทนคำว่า
>>>>"ช่วยด้วย"เพราะคำว่าไฟใหม้จะทำให้ชาวบ้านน
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>ในระแวกนั้นตกใจตื่นและออกมาดูสถานการณ์ได้เร็วกว่า
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>หากท่านเห็นว่าข้อความที่อ่านมาอาจเป็นประโยชน์ต่อคนที่ท่านรู้จักท่าน
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>สามารถส่งต่อได้โดยเฉพาะเพื่อน พี่ น้องที่เป็นเพศหญิง
>>>> >>>>>เพื่อเตือนให้เธอเหล่า
>>>> >>>>>นั้นระลึก อยู่เสมอว่า
>>>> >>>>>
>>>> >>>>>"โลกใบนี้มีคนวิกลจริตอาศัยอยู่มาก ...
>>>> >>>>>ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าเสียใจภายหลัง"

dog dancing น่ารักมาก ๆ

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันวิสาขบูชา

ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B2





 
วันวิสาขบูชา (บาลี: วิสาขปูชา; อังกฤษ: Vesak) เป็น "วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล" ของชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลก, วันหยุดราชการ ในหลายประเทศ และ วันสำคัญของโลก ตามมติเอกฉันท์ของที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ[1] เพราะเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา 3 เหตุการณ์ด้วยกัน คือ เป็นวันคล้ายวันประสูติ, ตรัสรู้ และปรินิพพาน แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยทั้งสามเหตุการณ์นั้นได้เกิดตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือในวันเพ็ญแห่ง เดือนวิสาขมาส (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่าเป็นวันที่รวมเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ยิ่ง จึงเรียกการบูชาในวันนี้ว่า "วิสาขบูชา" ย่อมาจาก"วิสาขปูรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" อันเป็นเดือนที่สองตามปฏิทินของอินเดีย ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายน โดยในประเทศไทย ถ้าในปีใดมีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 7 หลัง ตามปฏิทินจันทรคติของ ไทย ซึ่งประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทอื่นที่ไม่ได้ถือคติตามปฏิทิน จันทรคติของไทย จะจัดพิธีวิสาขบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 แม้ในปีนั้นจะมีเดือน 8 สองหนตามปฏิทินจันทรคติไทยก็ตาม[2] และในกลุ่มชาวพุทธมหายานบาง นิกาย ที่นับถือว่าเหตุการณ์ทั้ง 3 นั้น เกิดในวันต่างกันไป จะมีการจัดพิธีวิสาขบูชาต่างวันกันตามความเชื่อในนิกายของตน ๆ ซึ่งจะไม่ตรงกับวันวิสาขบูชาตามปฏิทินของชาวพุทธเถรวาท [3]
วันวิสาขบูชานั้น ได้รับการยกย่องจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลกให้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล เนื่องจากเป็นวันที่บังเกิดเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ ที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าและจุดเริ่มต้นของศาสนาพุทธ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดได้เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน ณ ดินแดนที่เรียกว่าชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล โดยเหตุการณ์แรก เมื่อ 80 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ" ณ ใต้ร่มสาละพฤกษ์ ในพระราชอุทยานลุมพินีวัน (อยู่ในเขตประเทศเนปาลในปัจจุบัน) และเหตุการณ์ต่อมา เมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันที่เจ้าชายสิทธัตถะได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ณ ใต้ร่มโพธิ์พฤกษ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (อยู่ในเขตประเทศอินเดียใน ปัจจุบัน) และเหตุการณ์สุดท้าย เมื่อ 1 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันเสด็จดับขันธปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ณ ใต้ร่มสาละพฤกษ์ ในสาลวโนทยาน พระราชอุทยานของเจ้ามัลละ เมืองกุสินารา (อยู่ในเขตประเทศอินเดียใน ปัจจุบัน) โดยเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนเกิดตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 หรือเดือนวิสาขะนี้ทั้งสิ้น ชาวพุทธจึงนับถือว่าวันเพ็ญเดือน 6 นี้ เป็นวันที่รวมวันคล้ายวันเกิดเหตุการณ์สำคัญ ๆ ของพระพุทธเจ้าไว้มากที่สุด และได้นิยมประกอบพิธีบำเพ็ญบุญกุศลและประกอบพิธีพุทธบูชาต่าง ๆ เพื่อเป็นการถวายสักการะรำลึกถึงแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบมาจน ปัจจุบัน
วิสาขบูชา มีการนับถือปฏิบัติกันในหลายประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งมหายานและเถรวาททุกนิกายมาช้านานแล้ว ในบางประเทศเรียกพิธีนี้ว่า "พุทธชยันตี" (Buddha Jayanti) เช่นใน อินเดีย และศรีลังกา ในปัจจุบันมีหลายประเทศที่ยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ เช่น ประเทศอินเดีย, ประเทศไทย, ประเทศพม่า, ประเทศศรีลังกา, สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เป็นต้น (ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีสัดส่วนประชากรที่นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท มากที่สุด) ในฝ่ายของประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ได้รับคติการปฏิบัติบูชาในวันวิสาขบูชามาจากลังกา (ประเทศศรีลังกา) ในประเทศไทยปรากฏหลักฐานว่ามีการจัดพิธีวิสาขบูชามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
วันวิสาขบูชา ถือได้ว่าเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล เพราะชาวพุทธทุกนิกายจะพร้อมใจกันจัดพิธีพุทธบูชาในวันนี้พร้อมกันทั่วทั้งโลก[4] (ซึ่งไม่เหมือนวันมาฆบูชา และวันอาสาฬหบูชา ที่เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่นิยมนับถือกันเฉพาะในประเทศไทย, ลาว, และกัมพูชา) และด้วยเหตุนี้ ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติจึงยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็น "วันสำคัญสากลนานาชาติ (International Day)" หรือ "วันสำคัญของโลก" ตามคำประกาศของที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ 54 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2542
ปัจจุบัน ประเทศไทยได้ประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และประชาชน จะมีการประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและ เหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นวันคล้ายวันที่ "ประสูติ" ของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งต่อมาได้ "ตรัสรู้" เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงกอปรไปด้วย "พระบริสุทธิคุณ", "พระปัญญาคุณ" ผู้ซึ่งได้ทรงสั่งสอนประกาศพระสัจธรรม คือความจริงของโลกแก่พหูชนทั้งปวงโดย "พระมหากรุณาธิคุณ" จวบจนทรง "เสด็จดับขันธปรินิพพาน" ในวาระสุดท้าย ซึ่งทั้งสามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสืบเนื่องในวันเพ็ญเดือน 6 ทั้งสิ้นนี้ ทำให้พระพุทธศาสนาได้บังเกิดและสืบต่อมาอย่างมั่นคงจนถึงปัจจุบัน

วันพืชมงคล

ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5






วันพืชมงคล (อังกฤษ: Royal Ploughing Ceremony) เป็นวันสำคัญที่กำหนดขึ้นเพื่อระลึกถึงความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อเศรษฐกิจไทย มีการจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งเป็นพระราชพิธีโบราณ สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ประกอบด้วย 2 พระราชพิธีคือ พระราชพิธีพืชมงคล และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีนี้กระทำที่ท้องสนามหลวง
ทางราชการกำหนดให้วันพืชมงคลเป็นวันเกษตรกร และกำหนดให้วันนี้เป็นวันหยุดราชการ ยกเว้นธนาคารและบริษัทเอกชนบางแห่งไม่หยุดทำการ วันพืชมงคลจะไม่ตรงกับวันเดิมตามสุริยคติหรือจันทรคติของทุกปี แต่สำนักพระราชวังจะเป็นผู้ประกาศวันพืชมงคล ให้เป็นวันใดวันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม แล้วแต่ในแต่ละปี

พระราชพิธีพืชมงคล

เป็นพิธีทางพุทธศาสนา มีพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เป็นพิธีสงฆ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงกำหนดให้มีขึ้นเป็นครั้งแรก เป็นพิธีทำขวัญเมล็ดพืชพันธุ์ต่างๆ เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว งา เผือก มัน เป็นต้น ฯลฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้น ปราศจากโรคภัยและให้อุดมสมบูรณ์เจริญงอกงามดี

[แก้] พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

เป็นพิธีทางศาสนาพราหมณ์ เป็นพิธีพราหมณ์มีมาแต่โบราณ เป็นพิธีเริ่มต้นการไถนาเพื่อหว่านเมล็ดข้าว มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็นอาณัติสัญญาณว่า บัดนี้ฤดูกาลแห่งการทำนาและเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว พระราชพิธีทั้งสองนี้ ได้กระทำเต็มรูปแบบมาเรื่อยๆ จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๗๙ ได้เว้นไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ด้วยสถานการณ์โลกและบ้านเมืองอยู่ในภาวะที่ไม่สมควรจะจัดงานใดๆ จึงว่างเว้นไป ๑๐ ปี ต่อมาทางราชการพิจารณาเห็นว่าประเทศไทย เป็นประเทศกสิกรรม โดยเฉพาะทำนาควรจะได้ฟื้นฟู ประเพณีเก่าอันเป็นมงคลแก่การเพาะปลูก ดังนั้น ใน พ.ศ. ๒๔๙๐ จึงกำหนดให้มีพิธีพีชมงคลขึ้นอีก แต่มีแค่พระราชพิธีพืชมงคลเท่านั้น (พิธีเต็มรูปแบบว่างเว้นไปถึง ๒๓ ปี) ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๓ จึงจัดให้มีราชพิธีจรดพระนาคัลแรกนาขวัญ ร่วมกับพิธีพืชมงคลนับแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้จึงจัดให้เป็นวัน สำคัญของชาติ

วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2555

วันมาฆบูชา

ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%86%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B2





วันมาฆบูชา (บาลี: มาฆปูชา; อังกฤษ: Magha Puja) เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของชาวพุทธเถรวาทและวันหยุดราชการในประเทศไทย[1] "มาฆบูชา" ย่อมาจาก "มาฆปูรณมีบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะ ตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย (มักอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หรือเดือนมีนาคม) ถ้าในปีใดมีเดือน อธิกมาส คือมีเดือน 8 สองหน (ปีอธิกมาส) ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 3 หลัง (วันเพ็ญเดือน 4) [2]
วันมาฆบูชา ได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ท่ามกลาง ที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา โดยมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระสงฆ์สาวกที่มาประชุมพร้อมกันทั้ง 1,250 รูปนั้นได้มาประชุมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย, พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง, พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ ทรงอภิญญา 6, และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4[3][4]
เดิมนั้นไม่มีการประกอบพิธีมาฆบูชาในประเทศพุทธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระองค์ได้ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ครั้งพุทธกาลใน วันเพ็ญเดือน 3 ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ควรมีการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น[5] โดยการประกอบพระราชพิธีคงคล้ายกับวันวิสาขบูชา คือมีการบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ มีการพระราชทานจุดเทียนตามประทีปเป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระอารามหลวงต่าง ๆ เป็นต้น โดยในช่วงแรกพิธีมาฆบูชาคงเป็นการพระราชพิธีภายใน ยังไม่แพร่หลายทั่วไป จนต่อมาความนิยมจัดพิธีมาฆบูชาจึงได้ขยายออกไปทั่วราชอาณาจักร
ปัจจุบันวันมาฆบูชาได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย[1] โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์[6] พระสงฆ์ และประชาชน จะมีการประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์[7] ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล
นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันมาฆบูชา ให้เป็น "วันกตัญญูแห่งชาติ" เนื่องจากปัจจุบันสังคมไทยวัยรุ่นสาวมักจะเสียตัวในวันวาเลนไทน์หลายหน่วยงานจึงพยายามรณรงค์ให้วันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรัก (อันบริสุทธิ์) แทน
สำหรับในปี พ.ศ. 2555 นี้ วันมาฆบูชาจะตรงกับ วันพุธที่ 7 มีนาคม ตามปฏิทินสุริยคติ

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เกมส์ทดสอบการบิน

เกมส์ข้ามแม่น้ำ

มีกติกานิดหน่อยดังนี้
1. เด็กผู้ชายห้ามอยู่กับแม่โดยที่ไม่มีพ่ออยู่
2. เด็กผู้หญิงห้ามอยู่กับพ่อโดยที่ไม่มีแม่อยู่
3. โจรอยู่กับใครไม่ได้เลย ถ้าไม่มีตำรวจอยู่ด้วย
4. เด็กไม่สามารถข้ามแพเองได้ ต้องมีผู้ใหญ่
5. ถ้าพร้อมออกแพให้กดเม็ดแดงๆอ่ะ หุหุ
หมายเหตุ : ใช้สำหรับคนที่จะสอบเข้าเป็นจอหงวนในประเทศจีนสมัยก่อน

เกมส์กบกระโดด 2 frog jumping 2

เกมส์กบกระโดด 1 frog jumping 1

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ทายใจ ด้วยไพ่ รู้น่ะเลือกอะไรอยู่ (ต้นฉบับ)

ทายใจ ด้วยไพ่ รู้น่ะเลือกอะไรอยู่

เลือกและจำใบไหนก็ได้ ไม่ต้องคลิ๊กนะ จำไว้ในใจ

ตอนนี้ผมกำลังเดาใจคุณอยู่ รอแป๊บ สัก5วินาที
แล้วค่อยเลื่อนลงดูข้างล่าง


v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v


ตอนนี้ผมได้เอาไพ่ที่คุณเลือกออกไปแล้ว

v
v
v
v


yengo ad

BumQ